เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด
ราคาทองคำพุ่งสู่จุดสูงสุดตลอดกาล จากคาดการณ์เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย
- Advertisement -
ประเด็นสำคัญ:
- ราคาทองคำทำสถิติเป็นวันที่สองที่ 2,148.99 ดอลลาร์
- ทองคำได้รับการสนับสนุนอย่างดีในช่วงปลายปี Q1 ปี 2024 – นักวิเคราะห์
- ตอนนี้โฟกัสเปลี่ยนไปที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์
ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลเหนือ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันจันทร์ เนื่องจากคำกล่าวของประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ ยกระดับความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์ว่าธนาคารกลางสหรัฐสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ในต้นปีหน้า
อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำแท่งที่ไม่มีดอกเบี้ย
gold spot เพิ่มขึ้น 0.7%
อยู่ที่ 2,085.76 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 03.53 น. GMT ช่วงต้นของเซสชั่น ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,148.99 ดอลลาร์
- Advertisement -
โกลด์ฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ทองเพิ่มขึ้นเกือบ 1% เป็น 2,107.60 ดอลลาร์
“หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา (พาวเวลล์) เทรดเดอร์มั่นใจมากขึ้นว่า ขณะนี้เราอยู่ที่จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และดังนั้นเส้นทางต่อจากนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นขาลงมากกว่าขึ้น” นักวิเคราะห์ตลาดหัวหน้า KCM Trade กล่าว ทิม วอเตอร์เรอร์.
“สภาพคล่องมีแนวโน้มที่จะทำให้การเคลื่อนไหวบางอย่างในตลาดรุนแรงขึ้น และยังมีองค์ประกอบการซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นกัน” Waterer กล่าว
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พาวเวลล์กล่าวว่า “ความเสี่ยงของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำลงและกำลังมีความสมดุลมากขึ้น” แต่เฟดไม่ได้คิดที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้
ขณะนี้ ผู้ค้าคาดว่ามีโอกาส 70% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในเดือน มี.ค. ปีหน้า ตามเครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME
ตลาดมองว่า ความคิดเห็นของเขาเป็นไปในเชิง Dovish โดยส่งดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงในวันศุกร์ ทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ๆ
ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งเป็นตลาดแรงงานที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง โดยผู้ว่าการเฟด คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ส่งสัญญาณว่า อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ หากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลง
ขณะนี้ นักลงทุนหันมาสนใจข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรายงานการจ้างงานสำคัญที่จะครบกำหนดในวันศุกร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ที่มา : reuters.com