GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ12 ก.ค.64(ภาคเช้า) by YLG

353

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากตลอดวันราคาทองคำยังไม่สามารถฝ่าแนวต้านบริเวณ 1,818 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ดังนั้นให้ระมัดระวัง เพราะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับย่อลงมาบริเวณแนวรับ 1,795-1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,795 1,783 1,769  แนวต้าน : 1,818 1,831 1,846

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.10  ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและชาติตะวันตก  หลังจากวันศุกร์กระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ได้ประกาศใส่ชื่อบริษัทสัญชาติจีน 23 บริษัทในรายชื่อบัญชีดำด้านเศรษฐกิจต่อกรณีข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ส่วนสภาสหภาพยุโรป (EU) เพิ่งลงมติเห็นชอบให้ตัวแทนทางการทูตร่วมบอยคอตต์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวประจำปี 2022  ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง เพื่อเป็นการตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน นอกจากนี้  ทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์  หลังนักลงทุนบางส่วนคลายความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า  ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อสกุลเงินเสี่ยง พร้อมกับบั่นทอนความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.24% แตะที่ 92.133 ปัจจัยที่กล่าวมาช่วยหนุนให้ราคาทองคำทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,812.32  ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวัน  อย่างไรก็ดี  ราคาทองยังคงปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด  เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ฟื้นตัวขึ้น  ส่วนดัชนีดาวโจนส์  ดัชนี S&P500 และ Nasdaq พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  สถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยสกัดช่วงบวกทองคำเอาไว้  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ไม่มีการประกาศตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐ  แต่แนะนำติดตามนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดนิวยอร์ก  รวมถึงดีมานด์การประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีมูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาไม่สร้างระดับสูงสุดใหม่จากสัปดาห์ก่อนหน้าบริเวณแนวต้าน 1,818 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ทำให้ในระยะสั้นอาจมีแรงขายกดดันให้ราคาอ่อนตัวลง แต่หากไม่หลุดแนวรับโซน 1,795-1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคามีโอกาสดีดตัวขึ้นช่วงสั้นอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

ถ้าเกิดการอ่อนตัวลงมาแนะนำเปิดสถานะซื้อหากราคาทองคำไม่หลุด 1,795-1,783ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามลดพอร์ตการลงทุนหากราคาหลุด 1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์  และหากถือสถานะซื้ออยู่อาจพิจารณาปิดสถานะทำกำไรในบริเวณ 1,818ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านได้สามารถถือสถานะซื้อต่อ

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) รมว.คลังสหรัฐห่วงไวรัสกลายพันธุ์กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก  นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุม G20 ที่เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลีว่า เธอรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-10 ที่มีการกลายพันธุ์ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ภายหลังจากที่โลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาด นางเยลเลน กล่าวว่า เรากังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์เดลต้าและไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัว เศรษฐกิจโลกนั้นเชื่อมโยงกัน หากเกิดสถานการณ์ขึ้นในพื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกแล้ว ประเทศที่เหลือก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
  • (+) รมว.พาณิชย์จีนออกแถลงการณ์โวยสหรัฐเพิ่มรายชื่อบริษัทจีนในแบล็กลิสต์  รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกแถลงการณ์วิจารณ์กระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ได้ประกาศใส่ชื่อบริษัทสัญชาติจีน 23 บริษัทในรายชื่อบัญชีดำด้านเศรษฐกิจต่อกรณีข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน  รมว.พาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์ว่า การระบุชื่อบริษัทจีนดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าในระดับสากลอย่างรุนแรง และยังเป็นการกำจัดบริษัทของจีนอย่างไร้ซึ่งเหตุผล จีนจะใช้มาตรการที่จำเป็น เพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายและผลประโยชน์ของจีน
  • (+) EU บรรลุเป้าหมายส่งมอบวัคซีนโควิดฉีดให้ประชาชนวัยผู้ใหญ่ 70%  นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยในวันนี้ (10 ก.ค.) ว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุเป้าหมายในการส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่เพียงพอให้กับประชาชนวัยผู้ใหญ่จำนวน 70% แล้ว  รัฐบาล 27 ชาติใน EU มีความรับผิดชอบในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และบางประเทศดำเนินการได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก แต่นางเลเยนได้กล่าวย้ำว่า EU ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้ในโครงการจัดซื้อวัคซีนร่วมที่ดำเนินการโดย EC โดยได้ส่งมอบวัคซีนไบโอเอนเทค-ไฟเซอร์จำนวน 330 ล้านโดส, วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 100 ล้านโดส, วัคซีนโมเดอร์นา 50 ล้านโดส และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 20 ล้านโดส 
  • (+) กูรูการเงินสหรัฐเชื่อบิตคอยน์เข้าสู่ขาลงครั้งใหญ่ อาจทรุดแตะ 10,000 ดอลล์  นายสก็อตต์ ไมเนิร์ด ประธานบริษัท Guggenheim Investments ที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนของสหรัฐเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเมื่อวันศุกร์ (9 ก.ค.) ว่า ไม่มีเหตุผลที่นักลงทุนจะเข้าซื้อบิตคอยน์ในขณะนี้ และตัวเขาเองก็จะไม่รีบซื้อด้วยเช่นกัน ขณะที่ราคาบิตคอยน์เข้าสู่ขาลงครั้งใหญ่ซึ่งอาจฉุดราคาลงต่ำถึง 10,000 ดอลลาร์
  • (+) ดอลล์อ่อน สวนทางยูโร-ปอนด์แข็งค่า  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) ขณะที่ยูโรและปอนด์แข็งค่าขึ้น  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.3% แตะที่ 92.1370 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1876 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1839 ดอลลาร์, เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3889 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3776 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7491 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7424 ดอลลาร์สหรัฐ  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.71 เยน จากระดับ 109.81 เยน แต่ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9142 ฟรังก์ จากระดับ 0.9157 ฟรังก์
  • (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 448.23 จุด หุ้นกลุ่มการเงินดีดบวกนำตลาด  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 และ Nasdaq โดยได้แรงหนุนจากการที่หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจนั้นดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงในช่วงต้นสัปดาห์นี้ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตายังคงแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,870.16 จุด เพิ่มขึ้น 448.23 จุด หรือ +1.30%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,369.55 จุด เพิ่มขึ้น 48.73 จุด หรือ +1.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,701.92 จุด เพิ่มขึ้น 142.13 จุด หรือ +0.98%
  • (-) อังกฤษยืนยันวัคซีนไฟเซอร์,แอสตร้าฯมีประสิทธิภาพป้องกันโควิดในกลุ่มเสี่ยงสู  กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ (PHE) เปิดเผยในวันศุกร์ (9 ก.ค.) ว่า จากการศึกษาประชาชนกลุ่มเสี่ยงจำนวน 1 ล้านรายพบว่า วัคซีนของไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 แบบมีอาการในกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง  PHE ระบุว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนโดยรวมทั้งของไฟเซอร์และแอสตร้าฯในการป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุแตกต่างกันเล็กน้อยนั้น อยู่ที่ราว 60% หลังฉีดโดสแรก  ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตร้าฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 81% หลังฉีดโดสที่สองในประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุ 16-64 ปี แต่ PHE ไม่มีข้อมูลของผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในช่วงอายุดังกล่าว  ส่วนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุมากกว่า 64 ปีขึ้นไปนั้นพบว่า หลังการฉีดโดสที่สอง วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพ 89% และวัคซีนแอสตร้าฯมีประสิทธิภาพ 80%

- Advertisement -

Comments
Loading...