GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 9 ธ.ค.64 by YLG

316

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์พิจารณาเปิดขายทำกำไรระยะสั้น เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,772-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์การลงทุนในตลาด TFEX จำเป็นต้องจำกัดความเสี่ยง เพราะจะมีวันหยุดในช่วงปลายสัปดาห์นี้

แนวรับ : 1,767 1,751 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 1.10ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,792.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์จากแรงขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้  โดยเผชิญกับปัจจัยกดดันต่างๆ ได้แก่  (1.) แรงขายทำกำไรและแรงขายทางเทคนิค  หลังจากเกิดสัญญาณบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มชะลอตัวลง  ขณะที่ราคาไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50, 100 และ 200 วันได้  (2.) อัตราผลตอบแทนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10ปีที่พุ่งขึ้น 3 วันทำการติดต่อกัน  และขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1.5% ท่ามกลางแรงขายพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  หลังจากที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนล่าสุด  บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันวานนี้ ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน  ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย และ (3.) การเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ที่เพิ่มขึ้นเกินคาดสู่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2ปัจจัยที่กล่าวมากดดันให้ราคาทองคำร่วงลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวันจนทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,779.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์   ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งของสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,793ดอลลาร์ต่อออนซ์ระดับสูงสุดวานนี้) ทำให้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่บริเวณ 1,772-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามหากยืนในโซนแนวรับแรกได้ ต้องจับตาแรงซื้อเก็งกำไรที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ราคาอาจดีดตัวขึ้นทดสอบโซน แนวต้านที่ 1,808ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

หากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำเปิดสถานะขายในโซนดังกล่าว(ตัดขาดทุนหากผ่านโซน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ซื้อคืนเพื่อทำกำไรหากราคายืนเหนือแนวรับโซน1,772-1,767ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามการลงทุนควรเป็นในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้น ไม่ควรถือสถานะหลายวัน

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) WHO เผยโอมิครอนลาม 57ประเทศทั่วโลกองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนใน 57 ประเทศทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นจาก 38 ประเทศที่มีการรายงานเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.  WHO ระบุว่า มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นทางตอนใต้ของแอฟริกา และคาดว่าจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้น ขณะที่โควิด-19ยังคงมีการแพร่ระบาด
  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากกความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มบรรเทาลง ขณเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ด้วย  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.51% แตะที่ 95.8905 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9198 ฟรังก์ จากระดับ 0.9248 ฟรังก์ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.66 เยน จากระดับ 113.62 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2653 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2647 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1349 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1260 ดอลลาร์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ ที่ระดับ 1.3234 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3236 ดอลลาร์
  • บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันในวันนี้ ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน  “ถึงแม้การฉีดวัคซีน 2 เข็มช่วยป้องกันอาการรุนแรงของโรคที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน แต่ข้อมูลในเบื้องต้นบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ตามด้วยเข็มกระตุ้นยังคงเป็นแนวทางดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19” แถลงการณ์ระบุทั้งนี้ ผลการทดลองในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของแอนติบอดีได้ถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ลดความสามารถในการต่อสู้ของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนลงเหลือเท่ากับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานด้วยการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม  ไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยว่า ทางบริษัทสามารถพัฒนาและจำหน่ายวัคซีนสูตรพิเศษที่สามารถต้านสายพันธุ์โอมิครอนได้ภายในเดือนมี.ค.2565
  • แหล่งข่าวเปิดเผยว่า รัฐบาลอังกฤษอาจประกาศยกระดับการคุมเข้มมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ หลังพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ขณะนี้ อังกฤษมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 10.5 ล้านราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ อินเดีย และบราซิล ขณะที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 145,000 ราย  นอกจากนี้ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจำนวน 437 รายในประเทศ 
  • สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2
  • เจพีมอร์แกน เชส วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ออกรายงานระบุว่า ไวรัสโควิด-19 จะยุติการแพร่ระบาดในปี 2565 และเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปีดังกล่าว  รายงานระบุว่า การที่บริษัทเวชภัณฑ์สามารถผลิตวัคซีนสูตรใหม่และยารักษาโรคโควิด-19 จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นของผู้บริโภค  นายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี
  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญ  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,754.75 จุด เพิ่มขึ้น 35.32 จุด หรือ +0.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,701.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.46 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,786.99 จุด เพิ่มขึ้น 100.07 จุด หรือ +0.64%

- Advertisement -

Comments
Loading...