GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 8 พ.ย.64 by YLG

292

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,809-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,803 1,785 1,770  แนวต้าน : 1,833 1,845 1,854

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดทะยานขึ้น 25.73ดอลลาร์ต่อออนซ์แม้ราคาทองคำจะร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,784.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเวลาต่อมา  โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ  ได้แก่  (1.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ10ปีปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.ที่ 1.436% และถือเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.  ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย(2.) ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงจากระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. บริเวณ94.634โดยดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยเผชิญกับแรงเทขาย  หลังจากดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐ และข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ (3.) แรงซื้อตามทางเทคนิคหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุผ่านระดับสูงสุดของ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าบริเวณ 1,813-1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์  สถานการณ์ดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นกว่า30 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับต่ำสุดในระหว่างวันสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนบริเวณ 1,818.16 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล  ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำไม่สามารถ break out ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ (สูงสุดของเดือน ก.ค.,ส.ค.,ก.ย.)อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นให้กลับลงมาตั้งฐานราคาด้านล่างอีกครั้ง เบื้องต้นประเมินว่าแนวรับโซน 1,809-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้ จึงจะมีแรงดีดกลับไปทดสอบแนวต้านด้านบนอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นการลงทุนระยะสั้นโดยซื้อหากราคาอ่อนตัวลงมาในโซน 1,809-1,803ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมลดการลงทุนหากราคาหลุด 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสำหรับนักลงทุนที่ถือสถานะซื้ออยู่ แนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,831-1,833ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) ดอลลาร์อ่อนค่า หลังตลาดขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่งดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.03% แตะที่ 94.3267 เมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.40 เยน จากระดับ 113.73 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9126 ฟรังก์ จากระดับ 0.9127 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2457 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2460 ดอลลาร์แคนาดายูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1549 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1553 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าแตะที่ระดับ 1.3480 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3493 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าสู่ระดับ 0.7393 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7399 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) จีนสั่งคว่ำบาตรนายกฯไต้หวัน ชี้ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง-แบ่งแยกประเทศ รัฐบาลจีนประกาศคว่ำบาตรนายกรัฐมนตรีของไต้หวันและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 2 คน โดยกล่าวหาบุคคลเหล่านั้นทำให้เกิดความเกลียดชังในช่องแคบไต้หวัน  สำนักข่าวเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นรายงานว่า นางซู เฟิงเหลียน โฆษกสำนักกิจการไต้หวันของจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (5 พ.ย.) ว่า จีนจะคว่ำบาตรบุคคลในรายชื่อซึ่งจีนเรียกว่าเป็นผู้ดื้อรั้นที่แยกตัวออกจากจีน 
  • (-) “ไฟเซอร์” เปิดตัวยารักษาโควิดได้ผลเกือบ 90% สูงกว่า “โมลนูพิราเวียร์”บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ แถลงในวันนี้ว่า ผลการทดลองในระยะที่ 3 สำหรับยาเม็ดชนิดรับประทานเพื่อรักษาโรคโควิด-19 พบว่า ยาดังกล่าวสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50%  ไฟเซอร์เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ยุติการทดลองแล้ว ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม หลังพบว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และบริษัทจะส่งผลการทดลองดังกล่าวให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) หลังจากที่ไฟเซอร์ได้ยื่นเรื่องขออนุมัติการใช้ยาดังกล่าวเป็นกรณีฉุกเฉินต่อ FDA เมื่อเดือนต.ค.ทั้งนี้ ไฟเซอร์ตั้งชื่อยารักษาโรคโควิด-19 ของทางบริษัทว่า Paxlovidโดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 3 เม็ด
  • (-) “ไฟเซอร์” คาดสหรัฐปิดเกมโควิด-19 ต้นปีหน้านายแพทย์สก็อตต์ ก็อตลิบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และอดีตประธานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐจะสิ้นสุดลงในเดือนม.ค.2565 ซึ่งมาตรการบังคับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในบริษัทเอกชนทั่วสหรัฐจะมีผลบังคับใช้
  • (-) สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งเกินคาดในเดือนต.ค.  กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง จากระดับ 312,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.  ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 312,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 194,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 483,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 366,000 ตำแหน่ง
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 203.72 จุด ขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่งดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐ และข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,327.95 จุด เพิ่มขึ้น 203.72 จุด หรือ +0.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,697.53 จุด เพิ่มขึ้น 17.47 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,971.59 จุด เพิ่มขึ้น 31.28 จุด หรือ +0.20%
  • (+/-) สภาผู้แทนฯสหรัฐไฟเขียวกม.ใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งต่อไบเดนลงนามสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework – BIF) มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้วในวันศุกร์ (5 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐ และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อลงนามบังคับใช้ต่อไป  สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า สภาผู้แทนฯ สหรัฐลงมติอนุมัติกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 228 ต่อ 206 เสียง โดยสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คนลงมติสนับสนุนกฎหมายดังกล่าว ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครต 6 คนลงมติคัดค้าน  ทั้งนี้ คาดว่าปธน.ไบเดนจะลงนามบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้  ส่วนวุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา

- Advertisement -

Comments
Loading...