GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 7 ธ.ค.65 by YLG

383

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

แนะนำเปิดสถานะขาย เพื่อทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว โดยบริเวณแนวต้านโซน 1,781-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือโซนดังกล่าวได้นำแบ่งทองคำออกขายเพื่อรอปิดสถานะขายในโซนแนวรับ 1,756-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,747 1,729 1,712  แนวต้าน : 1,781 1,795 1,809

ปัจจัยพื้นฐาน

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ ขณะที่วานนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ ระหว่างวันราคาทองคำดีดตัวขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.515% จากแรงซื้อพันธบัตรระยะยาวในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

นอกจากนี้ยังเกิดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยโดยตรง หลังจากผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐออกมาเตือนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาทิ นายเจมี ไดมอน ซีอีโอของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Squawk Box” ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเมื่อวานนี้ว่า วิกฤตเงินเฟ้ออาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ส่วนนายไบรอัน มอยนิฮาน ซีอีโอของแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวในการประชุมด้านการเงินซึ่งจัดขึ้นโดยโกลด์แมน แซคส์เมื่อวานนี้ว่า เขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลงเล็กน้อยเป็นเวลานานถึง 3 ไตรมาสในปีหน้า

- Advertisement -

ขณะที่นายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลง สถานการณ์ดังกล่าวหนุนราคาทองคำให้ดีดขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,780.79 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี กระแสเงินทุนไหลเข้าดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยเช่นกัน ประกอบกับดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นั่นทำให้การปรับตัวขึ้นของทองคำถูกจำกัดอยู่ในกรอบและเกิดแรงขายสลับออกมาเป็นระยะ ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +2.60 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามประสิทธิภาพการผลิตและประสิทธิภาพต้นทุนแรงงานต่อหน่วยของสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค

หากราคาทองคำทดสอบแนวต้านที่ 1,781 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดวานนี้ แต่หากยังไม่สามารถผ่านได้ ซึ่งยังคงต้องระมัดระวังแรงขาย เนื่องจากช่วงต้นสัปดาห์ราคามีการแกว่งตัวผันผวนและการเหวี่ยงตัวของราคาค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หากราคาปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างจำกัดหลังจากราคาทิ้งตัวลงแรงอาจมีแรงขายเพิ่มขึ้น ประเมินแนวรับระยะสั้นในโซน 1,756-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน

แนะนำเปิดสถานะขายทำกำไรระยะสั้นในบริเวณ 1,781-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์  (ตัดขาดทุนหากยืน 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้) แต่หากราคาอ่อนตัวลงให้พิจารณาบริเวณ 1,756-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะขายทำกำไร แต่หากหลุดโซนดังกล่าวแนะนำให้ชะลอการปิดสถานะขายออกไป

ข่าวสารประกอบการลงทุน

  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 350.76 จุด เหตุวิตกศก.สหรัฐถดถอย ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร (6 ธ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งการที่ผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐออกมาเตือนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 33,596.34 จุด ร่วงลง 350.76 จุด หรือ -1.03%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,941.26 จุด ลดลง 57.58 จุด หรือ -1.44% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,014.89 จุด ร่วงลง 225.05 จุด หรือ -2.00%
  • (+) “สแตนชาร์ด” คาดราคาทองพุ่ง 30% แตะระดับ $2,250 ในปีหน้า ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานคาดการณ์ว่า ราคาทองจะพุ่งขึ้น 30% สู่ระดับ 2,250 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีหน้า ทั้งนี้ นายเอริค โรเบิร์ตเซน หัวหน้านักวิจัยระดับโลกของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานชื่อ “เรื่องเซอร์ไพรส์ของตลาดการเงินในปี 2566” หรือ “The financial-market surprises of 2023” โดยได้ระบุถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งตลาดได้มองข้ามไป หนึ่งในเหตุการณ์ในรายงานดังกล่าวคือการที่ราคาทองจะพุ่งขึ้น 30% สู่ระดับ 2,250 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองเพื่อหาเสถียรภาพ ท่ามกลางความผันผวนในตลาดหุ้น นอกจากนี้ นายโรเบิร์ตเซนคาดการณ์ว่า บิตคอยน์จะทรุดตัวลงสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ ซึ่งหากเป็นจริงตามรายงาน ก็หมายความว่าบิตคอยน์จะดิ่งลงราว 70% จากในขณะนี้ที่ระดับ 17,000 ดอลลาร์ “แรงเทขายบิตคอยน์จะรุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทคริปโทฯ และกระดานเทรดจำนวนมากเผชิญกับการขาดแคลนสภาพคล่อง ทำให้เกิดการล้มละลายมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล” รายงานระบุ
  • (-) เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.4% ใน Q4/65 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.4% ในไตรมาส 4 โดยสูงกว่าระดับ 2.8% ที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งใหม่ในวันที่ 9 ธ.ค.
  • (-) ดอลล์แข็งค่า รับคาดการณ์เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (6 ธ.ค.) โดยตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.27% แตะที่ระดับ 105.5760 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 136.90 เยน จากระดับ 136.64 เยน, แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3657 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3589 ดอลลาร์แคนาดา และแข็งค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 10.4210 โครนา จากระดับ 10.4005 โครนา แต่ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9419 ฟรังก์ จากระดับ 0.9426 ฟรังก์ ส่วนยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0467 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0495 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.2142 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2176 ดอลลาร์

- Advertisement -

Comments
Loading...