GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 7 ธ.ค.64 by YLG

239

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรในกรอบจากการแกว่งตัว หากราคาไม่ผ่านโซน 1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำเปิดสถานะขาย (ตัดขาดทุนหากผ่าน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ปิดสถานะขายหากราคาไม่หลุดแนวรับ 1,767-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,767 1,751 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 4.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,787.55 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการระบาดของไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้และปรับตัวลดลงในเวลาต่อมา  หลังนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุม COVID-19 ของทำเนียบขาวกล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC วานนี้ว่า ยังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าไวรัส COVID-19 โอไมครอนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงนั่นทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว  แล้วกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง พร้อมกับกระตุ้นให้เกิดแรงขายในสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้วานนี้ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 646.95 จุด หรือ +1.87%ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในวันศุกร์ที่ 1.335% ขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1.4% จนเป็นปัจจัยกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเพิ่มเติม  สถานการณ์ดังกล่าว  กดดันให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,775.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์  แต่ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐช่วยสกัดช่วงติดลบทองคำเอาไว้  หลังจากทำเนียบขาวประกาศชัดว่า  สหรัฐประกาศจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่ของสหรัฐเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ณ กรุงปักกิ่งเนื่องจากจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงและซินเจียง แม้จีนจะออกมาขู่จะใช้มาตรการตอบโต้ก็ตาม  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -1.74 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยประสิทธิภาพการผลิตต่อหน่วยและประสิทธิภาพต้นทุนแรงงานต่อหน่วยของสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่บริเวณ 1,767-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามในโซน 1,796-1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาผ่านไม่ได้ในระยะสั้นจะมีรูปแบบ Sideway down ที่ชัดเจนขึ้น และราคาอาจอ่อนตัวลงทดสอบกรอบแนวรับด้านล่างอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นทำกำไรระยะสั้นโดยเปิดสถานะขาย หากราคาไม่ผ่าน1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา รอปิดสถานะขายหากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับโซน 1,767-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามควรลดสถานะขายลงหากราคาผ่าน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) จีนประณามสหรัฐก้าวก่ายประเด็นไต้หวัน เตือนกำลังเล่นกับไฟนายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ออกมาประณามคำพูดของเจ้าหน้าที่สหรัฐบางคนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน พร้อมกับเตือนว่าสหรัฐและไต้หวันกำลังเล่นกับไฟด้วยการยั่วยุจีนอย่างต่อเนื่อง  ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า “สหรัฐมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าไต้หวันมีวิธีการที่จะปกป้องตนเอง”  นายจ้าวกล่าวว่า “ประเด็นไต้หวันเป็นเรื่องภายในของจีน ขณะที่นักการเมืองสหรัฐบางคนต้องการท้าทายหลักการจีนเดียวด้วยการละเมิดแถลงการณ์ร่วมสามฉบับระหว่างจีน-สหรัฐ และส่งสัญญาณที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงในการสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนเพื่อเอกราชของไต้หวัน” พร้อมกับเสริมว่าจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านอย่างรุนแรง  เขากล่าวว่า กองกำลังแบ่งแยกดินแดนเพื่อเอกราชของไต้หวันกำลังเรียกร้องการสนับสนุนจากต่างชาติและพึ่งพาสหรัฐในการเรียกร้องเอกราช และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันในขณะนี้
  • (+) จีนลั่นพร้อมตอบโต้หากสหรัฐคว่ำบาตรโอลิมปิกฤดูหนาวนายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาประกาศในวันนี้ (6 ธ.ค.) ว่า ทางการจีนพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ทันที หากสหรัฐดำเนินการ “คว่ำบาตรทางการทูต” ต่อการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ณ กรุงปักกิ่งในปีหน้า  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเผยแพร่รายงานข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลของปธน.โจ ไบเดน เตรียมประกาศคว่ำบาตรการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวในสัปดาห์นี้ โดยผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันซึ่งมีกำหนดเปิดฉากขึ้นในเดือนก.พ. 2565
  • (-) ดอลล์แข็งค่า ตลาดคลายกังวลโอไมครอน-จับตาประชุมเฟดดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ รวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ 96.3361 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.49 เยน จากระดับ 112.62 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9261 ฟรังก์ จากระดับ 0.9175 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2770 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2834 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1277 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1312 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3257 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3230 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7041 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6997 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 646.95 จุด นักลงทุนคลายกังวลโอไมครอนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน หลังจากนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโอไมครอนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่นหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มอุตสาหกรรม  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,227.03 จุด เพิ่มขึ้น 646.95 จุด หรือ +1.87%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,591.67 จุด เพิ่มขึ้น 53.24 จุด หรือ +1.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,225.15 จุด เพิ่มขึ้น 139.68 จุด หรือ +0.93%
  • (+/-) แบงก์ชาติจีนประกาศปรับลด RRR มีผล 15 ธ.ค.นี้  ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ในอัตรา 0.50% สำหรับสถาบันการเงินทุกแห่ง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. ยกเว้นสถาบันการเงินที่มีการกันสำรองอยู่ที่ระดับ 5% อยู่แล้ว  ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนคาดการณ์ว่า การปรับลด RRR จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจจริง และช่วยลดต้นทุนทางการเงินอย่างครอบคลุม
  • (+/-) นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนปี 65 จ่อขยายตัว 5.3%สถาบันสังคมศาสตร์ของจีน (CASS) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัว 5.3% ในปี 2565 ส่งผลให้ตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2563-2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.2%  ทั้งนี้ ที่ปรึกษารัฐบาลเตรียมแนะนำให้ทางการลดระดับเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ระดับ “สูงกว่า 6%” จากปัจจัยหลายประการ ทั้งปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ การส่งออกที่อ่อนแอ และมาตรการสกัดโควิด-19 ที่เข้มงวด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  นอกจากนี้ CASS ระบุในรายงานประจำปีว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัว 8% ในปีนี้ แต่เตือนว่า สถานการณ์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังทรุดตัวในขณะนี้มีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไป และจะส่งผลกระทบต่อรายจ่ายรัฐบาลในปีหน้า  รายงานดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลกลางออกมาตรการเชิงรุกเพื่อลดแรงกระแทกในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงป้องกันความเสี่ยงที่ราคาอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วในเมืองเล็ก ๆ

- Advertisement -

Comments
Loading...