GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 6 ม.ค.65 by YLG

300

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,798 1,783 1,767  แนวต้าน : 1,813 1,844 1,859

จจัยพื้นฐาน

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปรับตัวลดลง  4.30ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าระหว่างวันราคาทองคำจะพุ่งขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการปรับฐานของดัชนีดอลลาร์  ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำทะลุผ่านระดับสูงสุดของวันก่อนหน้าจนกระทั่งเกิดแรงซื้อตามทางเทคนิคดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,829.56 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่จะเริ่มเกิดแรงขายทำกำไรสลับออกมาหลังจากที่ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป(Overbought) แต่ราคาทองคำเริ่มปรับตัวลงแรงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนธ.ค.ที่บ่งชี้ว่า  ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ใน “ภาวะตึงตัวอย่างมาก” ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับลดการถือครองสินทรัพย์(ลดขนาดงบดุล)ทั้งหมดด้วย เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ  รายงานดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. สะท้อนจากเครื่องมือFedWatchของ CME Group ที่บ่งชี้ว่าความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นเป็นราว 80% ซึ่งส่งผลหนุนให้ดัชนีดอลลาร์ฟื้นตัวลดช่วงติดลบ  พร้อมกับหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ2ปีและ5ปีให้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.และก.พ. ปี2020ตามลำดับส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 เช่นกัน จนเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,808.25  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง  0.32 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, ISM เปิดเผยดัชนี PMI ภาคการบริการ  และยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือ 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ส่งผลให้แรงซื้อยังคงถูกจำกัด สำหรับวันนี้ประเมินแนวรับระยะสั้นในโซน 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้านแรกได้แนวต้านถัดไปจะอยู่ในบริเวณ 1,844 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

เข้าซื้อโดยเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว ในบริเวณแนวรับ 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนสถานะซื้อหากหลุด1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ขณะที่การขายทำกำไรพิจารณาในโซน 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์หากผ่านได้ชะลอการขายออกไปที่แนวต้านถัดไป

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) แพทย์ใหญ่ทำเนียบขาวเตือนสหรัฐอย่าประมาทไวรัสโอมิครอนนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐไม่ควรประเมินไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนต่ำเกินไป แม้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุก่อนหน้านี้ว่า มีหลักฐานมากขึ้นที่แสดงว่าไวรัสโอมิครอนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ซึ่งทำให้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น  นายแพทย์เฟาชีกล่าวว่า “แม้ไวรัสโอมิครอนจะมีความรุนแรงไม่มากนัก แต่ก็มีความสามารถแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อื่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่มีจำนวนเตียงเพียงพอในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก และทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในที่สุด”
  • (+) ดอลล์อ่อนเทียบยูโร,ปอนด์ ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (5 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ลดช่วงลบ หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.10% แตะที่ 96.1674 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1312 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1289 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3560 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3535 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7223 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7241 ดอลลาร์สหรัฐดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 116.13 เยน จากระดับ 116.11 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9173 ฟรังก์ จากระดับ 0.9162 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2755 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2705 ดอลลาร์แคนาดา
  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 392.54 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 400 จุดในวันพุธ (5 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงรุนแรงที่สุดในรอบ 11 เดือน หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,407.11 จุด ลดลง 392.54 จุด หรือ -1.07%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.58 จุด ลดลง 92.96 จุด หรือ -1.94% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,100.17 จุด ลดลง 522.54 จุด หรือ -3.34%
  • (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในธ.ค.ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย.  ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว
  • (-) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐพุ่งเกินคาดในเดือนธ.ค.ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 807,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 375,000 ตำแหน่ง จากระดับ 505,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.  ภาคบริการมีการจ้างงาน 669,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงาน 138,000 ตำแหน่ง
  • (-) คาดสหรัฐจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มกว่า 400,000 ตำแหน่ง หลังวูบหนักในเดือนพ.ย. นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 422,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.1%  ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 210,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 581,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.5%
  • (-) อิตาลีติดโควิดวันเดียวทำนิวไฮเกือบ 190,000 ราย ดันยอดรวมทะลุ 6.7ล้านรายกระทรวงสาธารณสุขอิตาลีเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 189,109 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563  นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตรายใหม่มีจำนวน 231 ราย ลดลงจากที่รายงานวานนี้ที่ระดับ 259 ราย  ขณะนี้ อิตาลีมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมกว่า 6.76 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 138,000 ราย

- Advertisement -

Comments
Loading...