GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 5 พ.ย.64 by YLG

340

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากราคายังไม่ผ่านโซน 1,800-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การถือสถานะขายสามารถรอทำกำไรในบริเวณ 1,783-1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เน้นการลงทุนระยะสั้นและไม่ควรถือสถานะหลายวัน

แนวรับ : 1,783 1,770 1,755  แนวต้าน : 1,803 1,814 1,833

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น16.37  ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่ร่วงลงจากระดับสูงสุดที่ 1.608% ในวันก่อนหน้า  สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ 1.508% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงในรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. จากการที่ตลาด “ลด” การคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในหนึ่งวันหลังจากที่เฟดส่งสัญญาณดังกล่าวในการประชุมนโยบายการเงินรอบเดือนพ.ย.  ส่งผลหนุนให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยดีดกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกระยะ ทั้ง 21, 50, 100 และ 200 วันซึ่งสร้างมุมมองเชิงบวกในทางเทคนิคเพิ่มเติม  สถานการณ์ดังกล่าวผลักดันราคาทองทองคำพุ่ให้งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,798.87 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวัน  อย่างไรก็ดี  เริ่มมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา  ประกอบกับราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากดัชนีดอลลาร์ที่แข็งขึ้น 0.51% ขานรับการเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ลดลงเกินคาดสู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2020 และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน  นอกจากนี้ดัชนีดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายสวนทางการคาดการณ์ของตลาดอีกด้วย  ซึ่งเป็นปัจจัยสกัดช่วงบวกราคาทองคำเอาไว้  ด้านกองทุนSPDR ถือทองคำลดลง -2.66 ตัน  สำหรับวันนี้จับตาการเปิดเผยตัวเลขสำคัญในตลาดแรงงานของสหรัฐ  อาทิ  ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร, รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง และอัตราการว่างงานประจำเดือนต.ค.

จจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำไม่สามารถกลับขึ้นยืนเหนือ 1,800-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่บริเวณ 1,783-1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามในโซนแนวรับ1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต้องจับตาแรงซื้อเก็งกำไรที่อาจเพิ่มสูงขึ้น โดยหากสามารถยืนได้ราคาอาจดีดตัวขึ้นทดสอบโซน แนวต้านอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

หากยังไม่สามารถผ่าน 1,800-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปได้ แนะนำเปิดสถานะขายเพื่อลงทุนระยะสั้น (ตัดขาดทุนหากผ่าน 1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ทยอยเข้าซื้อคืนเมื่อราคาอ่อนตัวลงไม่หลุด 1,783-1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนไม่อยู่สามารถถือสถานะขายต่อ

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ 4 บริษัทเทคฯต่างชาติ พัฒนาสปายแวร์เจาะล้วงข้อมูลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ 4 บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติ ฐานพัฒนาและจัดหาสปายแวร์เจาะล้วงข้อมูลให้กับรัฐบาลต่างชาติ และว่าระบบดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้เพื่อมุ่งเป้าโดยมีเจตนาร้ายและเป็นอันตราย ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน นักธุรกิจ นักเคลื่อนไหว และนักวิชาการ  กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่าบริษัททั้ง 4 แห่ง ได้แก่ NSO Group และ Candiru ของอิสราเอล บริษัท Positive Technologies ของรัสเซีย และบริษัท Computer Security Initiative Consultancy PTE. LTD. ของสิงคโปร์ เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ขัดต่อความมั่นคงของชาติหรือขัดต่อผลประโยชน์ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ  บริษัททั้ง 4 แห่งจะเผชิญกับมาตรการกีดกันการส่งออกสินค้าและบริการมายังสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ของสหรัฐฯ จะขายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้ได้ยากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า นี่เป็นความพยายามในการปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยในโลกดิจิทัล การต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ และลดโอกาสการสอดส่องเฝ้าระวังที่ผิดกฎหมายสำหรับประชาชน  ตามรายงานของรอยเตอร์ บริษัททั้ง 4 ไม่ได้ให้ความเห็นต่อการถูกขึ้นบัญชีดำจากรัฐบาลสหรัฐฯในครั้งนี้
  • (+) สหรัฐเผยขาดดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ย.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 11.2% สู่ระดับ 8.09 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 7.32 หมื่นล้านดอลลาร์  นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐขาดดุลการค้า 8.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.
  • (-) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด  กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ  นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 275,000 ราย และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
  • (-) แบงก์ชาติอังกฤษเสียงแตก ประกาศคงดอกเบี้ย สวนทางคาดการณ์ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จัดการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ โดย BoE มีมติ 7-2 เสียง สนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้  ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของ BoE จำนวน 2 รายลงมติสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.15% ในวันนี้  อย่างไรก็ดี BoE ระบุในแถลงการณ์ว่า BoE อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย “ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า” หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวขึ้นตามที่ BoE คาดการณ์  นอกจากนี้ BoE มีมติ 6-3 เสียง สนับสนุนการคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 8.95 แสนล้านปอนด์ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
  • (-) ปอนด์อ่อนค่า หลังแบงก์ชาติอังกฤษคงดอกเบี้ย สวนทางคาดการณ์เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สวนทางการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขานรับข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.51% แตะที่ 94.3520 เมื่อคืนนี้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3493 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3679 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1553 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1609 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7399 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7445 ดอลลาร์สหรัฐ  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียกบับเงินเยน ที่ระดับ 113.73 เยน จากระดับ 113.93 เยน แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9127 ฟรังก์ จากระดับ 0.9105 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2460 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2392 ดอลลาร์แคนาดา
  • (+/-) ดาวโจนส์ปิดลบ 33.35 จุดจากแรงขายหุ้นแบงก์, S&P500-Nasdaq ทำนิวไฮต่อเนื่องดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และจากการที่นักลงทุนยังคงขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,124.23 จุด ลดลง 33.35 จุด หรือ -0.09% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,680.06 จุด เพิ่มขึ้น 19.49 จุด หรือ +0.42% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,940.31 จุด เพิ่มขึ้น 128.72 จุด หรือ +0.81%

- Advertisement -

Comments
Loading...