GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 4 พ.ย.64 by YLG

255

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

พิจารณาโซน 1,782-1,786 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในการเปิดสถานะขาย เพื่อรอซื้อคืนเพื่อปิดสถานะขายทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับโซน 1,758-1,745 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,758 1,745 1,734  แนวต้าน : 1,786 1,800 1,813

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 6.46ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของช่วงค่ำตามเวลาไทย  ราคาทองคำดีดตัวขึ้นทำระดับสูงสุดได้เพียง 1,785.57 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อนที่จะเริ่มเกิดแรงขายทำกำไร(Sell the rumor) ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประกาศแผนการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์  หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมา “ดีเกินคาด” ทุกรายการ  ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานของภาคเอกชนจาก ADP, ดัชนี PMI ภาคบริการจากทั้งมาร์กิตและ ISM รวมถึงคำสั่งซื้อภาคโรงงาน  ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้เกิดแรงขายในตลาดทองคำ  ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงหลุดระดับต่ำสุดของสัปดาห์ก่อนหน้าจนกระตุ้นแรงขายตามทางเทคนิค  นั่นส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,758.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงก่อนเฟดเปิดเผยผลการประชุม  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวขึ้น(Buy the news) หลังจากเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ย  และประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. ตามคาด ขณะที่ดัชนีดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าเนื่องจากเฟดยังคงระบุว่า “อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่วนใหญ่สะท้อนถึงปัจจัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว(transitory)” ส่วนนายพาวเวลประธานเฟดยังคงย้ำว่าการตัดสินใจลดQE ไม่ได้หมายความถึงสัญญาณโดยตรงใดๆ เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเฟดจะ “อดทน” ต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย  ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวัน   ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -1.45 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) และการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

จจัยทางเทคนิค :

ราคาทองคำอาจทดสอบแนวต้านที่ 1,782-1,786ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยังไม่สามารถผ่านได้ ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นยังคงมีแรงขายออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากการอ่อนลงมีโซนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,758-1,745ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

แนะนำให้ลงทุนระยะสั้น โดยขายทองคำออกมาเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปบริเวณ1,782-1,786ดอลลาร์ต่อออนซ์  (ตัดขาดทุนหากผ่าน1,800ดอลลาร์ต่อออนซ์) และรอจังหวะเข้าซื้อคืนเมื่อราคาย่อตัวลงมาและไม่หลุดแนวรับ 1,758-1,745ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาหลุดโซนดังกล่าวอาจชะลอการเข้าซื้อออกไป

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (-) ดอลลาร์อ่อนค่า หลังเฟดประกาศลดวงเงิน QE ตามคาดดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.23% แตะที่ 93.8725 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.93 เยน จากระดับ 113.96 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9105 ฟรังก์ จากระดับ 0.9142 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2392 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2405 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1609 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1581 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3679 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3618 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7445 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7426 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 104.95 จุดหลังเฟดประกาศหั่น QE ตามคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,157.58 จุด เพิ่มขึ้น 104.95 จุด หรือ +0.29% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,660.57 จุด เพิ่มขึ้น 29.92 จุด หรือ +0.65% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,811.58 จุด เพิ่มขึ้น 161.98 จุด หรือ +1.04%
  • (-) สหรัฐเผยคำสั่งซื้อภาคโรงงานสูงกว่าคาดในเดือนก.ย.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัว หรือเพิ่มขึ้น 0% หลังจากดีดตัวขึ้น 1.0% ในเดือนส.ค.  เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานทะยานขึ้น 17.6% ในเดือนก.ย.
  • (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐสูงสุดรอบ 3 เดือนในต.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. จากระดับ 54.9 ในเดือนก.ย.  ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัว
  • (-) ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐสูงกว่าคาดในเดือนต.ค.  สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 66.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 62.0 จากระดับ 61.9 ในเดือนก.ย.
  • (-) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐพุ่งเกินคาดในเดือนต.ค.ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 571,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. จากระดับ 523,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.  ตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 395,000 ตำแหน่ง
  • (-) ECB ส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยยาวตลอดปี 65เหตุเงินเฟ้อต่ำ  นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่า ECB ไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ  ทางด้านนางลาการ์ดกล่าวในวันนี้ว่า “แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นในขณะนี้ แต่มีแนวโน้มปรับตัวลงในระยะกลาง ทำให้ ECB ยังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า”
  • (+/-) เฟดคงดอกเบี้ย,หั่น QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ สอดคล้องคาดการณ์คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมวันนี้  นอกจากนี้ เฟดจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์  การลดวงเงิน QE ดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565  แถลงการณ์ของ FOMC ระบุว่า “เฟดดำเนินการดังกล่าว หลังจากที่เศรษฐกิจมีความคืบหน้าอย่างมากในการไปสู่เป้าหมายของเฟดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2563”  อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ระบุว่า เฟดไม่ได้มีการดำเนินการอย่างตายตัว และเฟดจะทำการปรับมาตรการ หากมีความจำเป็น  “คณะกรรมการ FOMC มีความเห็นว่าการปรับลดการซื้อพันธบัตรในวงเงินที่เท่าๆกัน ถือว่ามีความเหมาะสมในแต่ละเดือน แต่เฟดก็พร้อมที่จะปรับวงเงินการซื้อพันธบัตร หากมีการเปลี่ยนแปลงต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ” แถลงการณ์ระบุ 

- Advertisement -

Comments
Loading...