GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 4 ต.ค.64 by YLG

314

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรจากการแกว่งตัว โดยเข้าซื้อที่แนวรับบริเวณ 1,753-1,749 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากราคาขยับขึ้นควรแบ่งขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านโซน 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ

แนวรับ : 1,749 1,73 1,721  แนวต้าน : 1,771 1,787 1,808

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.90ดอลลาร์ต่อออนซ์  ทั้งนี้  ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 1,764.12 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวที่ปรับตัวลดลงในวันศุกร์  เนื่องจากเทรดเดอร์ปรับสถานะการลงทุนสำหรับไตรมาส 4 ของปี และเกิดแรงซื้อคืนพันธบัตรหลังจากการเทขายครั้งใหญ่รับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณเตรียมจะประกาศลด QE ในเดือนพ.ย.และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปีหน้า  นอกจากนี้  ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันในวันศุกร์ ตามการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ  ขณะที่นักลงทุนขายกำไรสกุลเงินดอลลาร์หลังจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา  อย่างไรก็ดี  การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดยังคงวิตกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐก่อนเส้นตายวันที่ 18 ต.ค.นี้ ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  บวกรวมกับนักลงทุนบางส่วนมองว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์ในขณะนี้เป็นการปรับตัวลดลงเพียงชั่วคราว  ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ถูกเปิดเผยในวันศุกร์ต่างก็ออกมาดีเกินคาด  ไม่ว่าจะเป็นดัชนีภาคการผลิตในเดือนก.ย.จาก ISM, ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากม.มิชิแกน และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานที่พุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.1991 นั่นเป็นปัจจัยสกัดช่วงบวกของราคาทองคำ  ส่งผลให้ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด   ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -3.49 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐ

- Advertisement -

จจัยทางเทคนิค :

ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุด  1,753-1,749 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะมีโอกาสเกิดแรงดีดกลับและราคาอาจพยายามจะดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้อาจจะเกิดแรงขายสลับออกมาเพิ่ม

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นทำกำไรระยะสั้นโดยเสี่ยงเปิดสถานะซื้อ โดยใช้บริเวณ 1,753-1,749 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ให้ชะลอการเข้าซื้อออกไป) ขณะที่หากราคาดีดตัวขึ้นแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,769-1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์เพื่อรอเข้าซื้อใหม่เมื่อราคาอ่อนตัว

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) ดอลล์อ่อนค่า ตลาดปรับตัวรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 ต.ค.) หลังนักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายตัวของสหรัฐ  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.20% แตะที่ 94.0364 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 111.04 เยน จากระดับ 111.37 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9300 ฟรังก์ จากระดับ 0.9325 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2635 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2658 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1597 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1583 ดอลลาร์, เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3553 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3475 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7266 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7230 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) ไต้หวันฮึ่มหลังจีนส่งเครื่องบินทหาร 38 ลำรุกล้ำน่านฟ้าไต้หวันระบุว่า เครื่องบินทหารของจีนจำนวน 38 ลำได้บินเข้าสู่เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวันเมื่อวันศุกร์ (1 ต.ค.) ซึ่งถือเป็นการบุกรุกครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพจีนภายในวันเดียว  กระทรวงกลาโหมของไต้หวันเปิดเผยว่า เครื่องบิน 25 ลำซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบและเครื่องบินทิ้งระเบิดได้บินเข้าสู่เขต ADIZ ซึ่งอยู่เหนือน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวันในช่วงกลางวัน และระบุว่า เครื่องบินอีก 13 ลำได้บินเข้าสู่เขตดังกล่าวในเวลากลางคืน  เครื่องบินดังกล่าว 12 ลำได้บินผ่านช่องแคบบาชิซึ่งอยู่ระหว่างไต้หวันและฟิลิปปินส์ และเข้าสู่เหนือน่านน้ำฝั่งแปซิฟิกของไต้หวันก่อนจะบินกลับไปตามเส้นทางเดิม  การรุกล้ำของเครื่องบินทหารของจีนถึง 38 ลำในวันเดียวนั้น นับเป็นการบุกรุกครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กระทรวงกลาโหมของไต้หวันได้เริ่มเปิดเผยข้อมูลนี้เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว
  • (+) สหรัฐเตรียมประกาศตอบโต้ หลังจีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกแหล่งข่าวเปิดเผยกับ CNBC ว่า นางแคเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะประกาศในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (4 ต.ค.) ว่า จีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ทำไว้กับรัฐบาลสหรัฐในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  แหล่งข่าวระบุว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว จีนจะต้องซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ในระยะ 2 ปี แต่จีนไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าว  การประกาศดังกล่าวของนางไท่จะเป็นการแสดงถึงการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่มีต่อจีน โดยนางไท่จะแถลงถึงการทบทวนนโยบายการค้ากับจีนที่กรุงวอชิงตันในวันจันทร์ที่จะถึงนี้  ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า USTR จะตอบโต้จีนอย่างไร ขณะที่แหล่งข่าวเผยกับ CNBC ว่า USTR กำลังประเมินการปฎิบัติการที่เป็นไปได้กับจีนที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งอาจรวมถึงการขึ้นภาษี
  • (-) “เมอร์ค” เตรียมยื่นเรื่อง FDA ขออนุมัติใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ แถลงในวันนี้ว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ 
  • (-) ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐสูงกว่าคาดในเดือนก.ย.ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 72.8 ในเดือนก.ย. จากระดับ 70.3 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้
  • (-) ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐต่ำสุดรอบ 5 เดือนในก.ย.ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 60.7 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. จากระดับ 61.1 ในเดือนส.ค.
  • (-) ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย. สวนทางคาดการณ์สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.1 ในเดือนก.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 59.6 จากระดับ 59.9 ในเดือนส.ค.
  • (-) สหรัฐเผยเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดรอบ 30 ปีในเดือนส.ค.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 3.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2534 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5% 
  • (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 482.54 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่เป็นไปในเชิงบวก, ความคืบหน้าในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 และแนวโน้มการผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,326.46 จุด เพิ่มขึ้น 482.54 จุด หรือ +1.43%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,357.04 จุด เพิ่มขึ้น 49.50 จุด หรือ +1.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,566.70 จุด เพิ่มขึ้น 118.12 จุด หรือ +0.82%

- Advertisement -

Comments
Loading...