GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 24 ธ.ค.64 by YLG

256

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

หากราคายังไม่สามารถผ่าน 1,815-1,834ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปได้ แนะนำเปิดสถานะขายหรือ อาจใช้วิธีการลดพอร์ตการลงทุน โดยเน้นเก็งกำไรการแกว่งตัว และเข้าซื้อคืนที่แนวรับบริเวณ 1,783-1,772 ดอลลาร์ต่อออนซ

แนวรับ : 1,772 1,753 1,737  แนวต้าน : 1,815 1,834 1,849

จจัยพื้นฐาน 

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.31ดอลลาร์ต่อออนซ์  ระหว่างวันราคาทองคำเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5bps สู่ระดับ 1.4926% ท่ามกลางแรงขายพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโอมิครอน  หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา  ขณะที่แอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยผลการวิจัยว่า วัคซีนโดสที่ 3 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนปัจจัยที่กล่าวมา  บวกรวมกับการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐบางรายการที่ออกมาดีเกินคาด  อาทิ ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่ทรงตัวและใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและการใช้จ่ายส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น  กดดันให้ราคาร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,799.08  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนจะมีแรงซื้อ Buy the dip เข้ามาพยุงราคาเอาไว้  นอกจากนี้นักลงทุนบางส่วนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ  หลังดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานของสหรัฐพุ่งขึ้น4.7% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี  สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงเร่งตัวขึ้น  บวกรวมกับดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่าจากแรงขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  นั่นทำให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวันจนทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,810.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ราคาทองคำอาจเคลื่อนไหวไม่มากเนื่องจากตลาดเงินและตลาดทุนของบางแห่งในยุโรปและตลาดสหรัฐจะปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส

จจัยทางเทคนิค :

ราคาทองคำไม่หลุด 1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาจึงมีโอกาสเกิดแรงดีดตัวขึ้นและราคาอาจพยายามจะดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,815-1,834ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้อาจจะเกิดแรงขายสลับออกมาอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นทำกำไรระยะสั้นโดยเปิดสถานะขายโดยใช้บริเวณ 1,815-1,834ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาผ่าน 1,834 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ตัดขาดทุนสถานะขาย ขณะที่หากราคาอ่อนตัวลงแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะขายทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,783-1,772 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานคงตัวตามคาดในสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 205,000 รายหลังมีการปรับตัวเลข ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลแรงงานที่ซบเซา อย่างไรก็ดี ดอลลาร์อ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลการวิจัยเชิงบวกเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.07% แตะที่ 96.0243 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9180 ฟรังก์ จากระดับ 0.9196 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2809 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2843 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.44 เยน จากระดับ 114.17 เยน ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1333 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1331 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3419 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3359 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7248 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7214 ดอลลาร์
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่อยู่ที่ระดับ 744,000 ยูนิตในเดือนพ.ย. พุ่งขึ้น 12.4% จากระดับ 662,000 ในเดือนต.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 766,000 ยูนิต  อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ตัวเลขยอดขายบ้านถูกปรับทบทวน ซึ่งรวมถึงในเดือนต.ค. ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับลดยอดขายบ้านใหม่ลงสู่ระดับ 662,000 ยูนิต จากเดิมรายงานที่ระดับ 745,000 ยูนิต
  • ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐขั้นสุดท้ายในเดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 70.6 จากรายงานช่วงต้นเดือนที่ระดับ 70.4 และเพิ่มขึ้นจากระดับ 67.4 ในเดือนพ.ย.  ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 70.4
  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยรายงานดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,950.56 จุด เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ +0.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,725.79 จุด เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ +0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,653.37 จุด เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ +0.85%
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 แล้วในวันนี้ ซึ่งนับเป็นยาตัวที่สองที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในสหรัฐ หลังจากที่ FDA เพิ่งอนุมัติยาแพกซ์โลวิด (paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์ไปเมื่อวันก่อน
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากกระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค.  ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนได้รับแรงหนุนจากยอดสั่งซื้ออุปกรณ์สำหรับการขนส่งที่ทะยานขึ้นถึง 6.5%  นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย.
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. หลังจากปรับขึ้น 4.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี
  • สถาบันโรเบิร์ต คอช (RKI) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านโรคติดเชื้อของเยอรมนี ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นรายแรกในประเทศ

- Advertisement -

Comments
Loading...