บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 23 ส.ค.64 by YLG

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากตลอดวันราคาทองคำยังไม่สามารถฝ่าแนวต้านแรกบริเวณ 1,788-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ให้ระมัดระวังแรงขายเพิ่มขึ่น เพราะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับย่อลงมาบริเวณแนวรับ 1,768-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,768 1,751 1,734  แนวต้าน : 1,796 1,814 1,833

ปัจจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดทรงตัวแทบไม่เปลี่ยนแปลง  ระหว่างวันราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ1,777.8-1,788.3  ดอลลาร์ต่อออนซ์  แม้ว่าราคาทองคำจะฟื้นตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในระหว่างวัน  ท่ามกลางแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง  จากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก  อันเนื่องมาจากการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำเผชิญกับแรงขายในเวลาต่อมา  ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนครึ่งที่  93.729 ในระหว่างการซื้อขายของวันศุกร์จากความต้องการดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  นอกจากนี้  ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากการที่นักลงุทนกลับมาเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง  เห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดตลาดในวันศุกร์ด้วยการทะยานขึ้น 225.96 จุด หรือ +0.65%  ซึ่งบั่นทอนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่ม  ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,777.80  ดอลลาร์ต่อออนซ์  อย่างไรก็ดี  การปรับตัวลดลงของทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน  เนื่องจากดัชนีดอลลาร์ลดช่วงบวกลงในช่วงปลายตลาด  ท่ามกลางแรงขายทำกำไรหลังจากปรับตัวขึ้น 4 วันติดต่อกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำยังคงปิดตลาดในวันศุกร์  พร้อมปิดตลาดในสัปดาห์  ที่ผ่านมาในแดนบวก  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองลดลง -3.49 ตัน  สู่ระดับ 1,011.61 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ  อาทิ  ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการจากมาร์กิต

ปัจจัยทางเทคนิค :

ราคาทองคำยังคงพยายามยืนเหนือ 1,770-1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากสามารถยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้หลายชั่วโมง มีแนวโน้มขึ้นทดสอบ 1,788-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ถ้าไม่สามารถปรับขึ้นไปยืนได้ จะเกิดแรงขายออกมาอีกครั้ง โดยแนวรับสำคัญจะอยู่บริเวณ 1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

แนะนำให้เปิดสถานะขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น หากราคาทองคำขยับขึ้นไม่ผ่านแนวต้าน 1,788-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไม่ได้ (ตัดขาดทุนสถานะขายหากราคาผ่าน1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์)และอาจเข้าซื้อคืนเมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณ 1,770-1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดชะลอการปิดสถานะขายไปยังโซนแนวรับถัดไปบริเวณ 1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

• (+) ดอลล์อ่อนค่าจากแรงขายทำกำไรหลังบวก 4 วันติดกันดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (20  ส.ค.) โดยถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้น 4 วันติดต่อกัน  ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.06% แตะที่ 93.5024 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9176 ฟรังก์ จากระดับ 0.9185 ฟรังก์ แต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.80 เยน จากระดับ 109.78 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.2844 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2819 ดอลลาร์แคนาดา  ส่วนยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1695 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1676 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าสู่ระดับ 1.3622 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3639 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7136 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7151 ดอลลาร์สหรัฐ
• (+) ปธ.เฟดดัลลัสเผยอาจไม่หนุนลด QE เดือนต.ค. หากเดลตาทุบศก.วูบนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า เขากำลังจับตาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่จะมีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเขาอาจปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับนโยบายของเขา หากเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงอย่างมาก    “ขณะนี้ เดลตายังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจกรรมของผู้บริโภค เช่น การออกไปรับประทานอาหาร แต่กำลังส่งผลกระทบทำให้การกลับเข้าทำงานในสำนักงานต้องล่าช้าออกไป และกระทบความสามารถในการจ้างพนักงานเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อ รวมทั้งอาจกระทบต่อภาคการผลิต” นายแคปแลนกล่าว
• (+) ‘ไต้หวัน’ ชี้ ‘จีน’ ต้องการเลียนแบบ ‘กลุ่มตาลีบัน’รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน กล่าวในวันนี้ จีนต้องการเลียนแบบกลุ่มตาลีบัน เนื่องจากเกาะไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งอ้างมีอธิปไตยเหนือดินแดน ไม่ต้องการอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติสำนักข่าวเดอะอีโคโนมิค ไทม์ส รายงานว่า การล่มสลายอย่างรวดเร็วของรัฐบาลอัฟกานิสถาน ที่สหรัฐให้การหนุนหลัง ได้จุดชนวนให้เกิดการโต้เถียงในไต้หวันอย่างดุเดือดว่า พวกเขาจะประสบชะตากรรมเดียวกัน จากการรุกรานของจีนหรือไม่ ขณะที่สื่อของทางการจีนกล่าวว่า ชะตากรรมของประชาชนในกรุงคาบูล แสดงให้เห็นว่า ไต้หวันไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาลวอชิงตันได้โจเซฟ อู๋ รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ทวีตข้อความถึงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เพื่อเรียกร้องให้หยุดจีน กระทำกดดันเกาะไต้หวัน พร้อมกันนี้ ยังแสดงความขอบคุณต่อสหรัฐที่รักษาความปรารถนาดี และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนไต้หวัน
• (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 225.96 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุนตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังคงปิดตลาดติดลบในรอบสัปดาห์นี้ท่ามกลางความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าคาด  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,120.08 จุด เพิ่มขึ้น 225.96 จุด หรือ +0.65%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,441.67 จุด เพิ่มขึ้น 35.87 จุด หรือ +0.81% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,714.66 จุด เพิ่มขึ้น 172.88 จุด หรือ +1.19%
• (-) FDA จ่ออนุมัติใช้วัคซีนโควิดของไฟเซอร์อย่างเต็มรูปแบบวันจันทร์ที่จะถึงนี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์สรายงานในวันศุกร์ (20 ส.ค.) ว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐจะอนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์อย่างเต็มรูปแบบ (full approval) ในวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.นี้  ทั้งนี้ การอนุมัติใช้วัคซีนดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบอาจช่วยสนับสนุนโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนในสหรัฐ โดยจะโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นเชื่อว่า วัคซีนป้องกันโควิดของไฟเซอร์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
• (-)ราคาบิตคอยน์พุ่งแรงเช้านี้ จ่อทะลุแนวต้าน 50,000 ดอลลาร์ราคาบิตคอยพุ่งขึ้นใกล้แตะแนวต้านทางเทคนิคที่ระดับ 50,000 ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ แม้มีข่าวว่า สภาคองเกรสสหรัฐเตรียมออกกฎหมายควบคุมการซื้อขายบิตคอยน์ณ เวลา 06.41 น.ตามเวลาไทย ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้น 1,006 ดอลลาร์ หรือ 2.08% แตะที่ระดับ 49,430 ดอลลาร์ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จนล่าสุดใกล้แตะระดับ 50,000 ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แม้มีรายงานว่า สภาคองเกรสสหรัฐเตรียมออกกฎหมายควบคุมการซื้อขายบิตคอยน์ โดยครอบคลุมถึงการตรวจสอบธุรกรรมในตลาดสกุลเงินคริปโต รวมทั้งผู้ที่เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมต่อกรมสรรพากรสหรัฐ (IRS)