GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 22 ธ.ค.64 by HGF

1,267

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

สหรัฐจะไม่ล็อกดาว์นประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 3  

แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหว Sideways

  • ราคาทองคำ Spot ปรับลดลงเล็กน้อย ซึ่งราคาทองคำปรับลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ภายหลังที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยืนยันว่า สหรัฐจะไม่ล็อกดาว์นประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน อาจไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ถือครองทองคำเท่าเมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) ตลาดคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1%  ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. โดย Conference Board ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 111.1 จากระดับ 109.50  ในเดือนพ.ย.และยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.55 ล้านยูนิต จาก 6.34 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,780-1,805 ดอลลาร์  โดยมีแนวต้าน 1,805 ดอลลาร์ และ 1,815 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับที่ 1,780 ดอลลาร์ และ 1,770 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,788.40-2.111,780/1,7701,805/1,815

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,650+5028,400/28,20028,750/28,950

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,670-11028,500/28,36028,880/28,920

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,780 ดอลลาร์ (GF 28,500 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,770 ดอลลาร์ (GF 28,360 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,793.50-8.301,781/1,7711,806/1,816

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคา GOZ21 ปรับลงมาที่ 1,781 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,771 ดอลลาร์

- Advertisement -

ค่าเงิน

ค่าเงินบาทเมื่อวานนี้อ่อนค่าต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนภายในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งศบค.ได้สั่งยกเลิกมาตรการ Test&Go ในขณะที่ระยะสั้นทิศทางค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า สำหรับ USD Futures เดือนธ.ค.64 คาดจะมีแนวรับที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.90 บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ : ดอลล์อ่อนค่า กังวลแผนกระตุ้นศก.ถูกขวางในวุฒิสภา

          ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) โดยได้รับผลกระทบจากการที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจถูกคว่ำในวุฒิสภาสหรัฐ    ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.07% แตะที่ 96.4892 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดลบ $5.9 บอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด

          สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) โดยสัญญาทองคำปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันตลาด   ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 1,788.7 ดอลลาร์/ออนซ์  สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 23.8 เซนต์ หรือ 1.07% ปิดที่ 22.529 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ : น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $2.51 รับแรงช้อนซื้อ-สหรัฐไม่ล็อกดาวน์

          สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 71 ดอลลาร์เมื่อคืนที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาน้ำมันร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยืนยันว่า สหรัฐจะไม่ล็อกดาวน์ประเทศแม้ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนยังคงแพร่ระบาด     ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.51 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 71.12 ดอลลาร์/บาร์เรล   ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.46 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 73.98 ดอลลาร์/บาร์เรล

ตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 560.54 จุด ขานรับไบเดนยืนยันไม่ล็อกดาวน์

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนแถลงยืนยันว่า สหรัฐจะไม่ล็อกดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เหมือนกับที่เคยทำในเดือนมี.ค. 2563 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเดินทาง รวมทั้งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทไมครอน เทคโนโลยี และไนกี้    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,492.70 จุด เพิ่มขึ้น 560.54 จุด หรือ +1.60%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,649.23 จุด เพิ่มขึ้น 81.21 จุด หรือ +1.78% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,341.09 จุด เพิ่มขึ้น 360.14 จุด หรือ +2.40%

“โอมิครอน” กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐ พบผู้ติดเชื้อ 73% ทั่วประเทศ

          ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยแบบจำลองการประเมินล่าสุดประจำสัปดาห์ระบุว่า ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกระจายอยู่ทั่วประเทศคิดเป็นสัดส่วน 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดที่พบในสหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นราว 3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาลดลงเหลือเพียง 27% เท่านั้น    สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นตอกย้ำถึงความวิตกที่ว่า ไวรัสโอมิครอนอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดอีกระลอก ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขของสหรัฐยิ่งตึงตัวมากขึ้น แม้จะมีหลักฐานว่าอาการเจ็บป่วยจากโอมิครอนไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลตา แต่ระดับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากก็อาจทำให้โรงพยาบาลมีจำนวนผู้ป่วยมากเกินกว่าจะรองรับได้    ข้อมูลจาก CDC ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดนั้นเป็นไปตามความคาดหมายอยู่แล้ว และรูปแบบในลักษณะนี้ก็พบเห็นได้ทั่วโลก โดยในบางพื้นที่ของสหรัฐนั้นพบโควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้ในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เกือบทั้งหมด โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 92% ในรัฐนิวยอร์กและรัฐนิวเจอร์ซีย์ ขณะที่มีสัดส่วนถึง 96% ในรัฐวอชิงตัน    นอกจากนี้ CDC ยังระบุด้วยว่า มาตรการป้องกันอื่น ๆ เช่น การใส่หน้ากากภายในอาคารและการตรวจหาเชื้อที่บ้าน ยังคงช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว

CDC แนะชาวมะกันที่ฉีดวัคซีนโควิดของ J&J ให้ฉีดเข็มบูสเตอร์เป็น mRNA

          ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ควรได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์เป็นวัคซีนชนิด mRNA   คำแนะนำดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ปรึกษาของ CDC ลงมติเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยได้แนะนำให้ชาวอเมริกันเลือกฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นาหรือของไฟเซอร์ มากกว่าของ J&J หลังมีรายงานว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนของ J&J จำนวนหลายสิบรายเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่พบบ่อย  ขณะที่บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยว่า การฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ขนาด 50 ไมโครกรัมของบริษัท จะช่วยให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้น 37 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม นอกจากนี้ หากมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 100 ไมโครกรัมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโอมิครอนเป็น 83 เท่า   ทางด้านคริสเตน นอร์ลันด์ โฆษกของ CDC ระบุว่า “เมื่อพิจารณาจากคำแนะนำใหม่ นั่นหมายความว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ซึ่งจะนำมาฉีดหลังได้รับวัคซีน J&J มาแล้วอย่างน้อยสองเดือนควรเป็นวัคซีนชนิด mRNA” โดยเพิ่มเติมว่า “หากคุณได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์ชนิดอื่นมาแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนชนิด mRNA ซ้ำอีก”    ทั้งนี้ ผลวิจัยที่เผยแพร่เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ชนิด mRNA หลังได้รับวัคซีนแบบโดสเดียวของ J&J มีแนวโน้มเสริมประสิทธิภาพการป้องกันของแอนติบอดีได้ดีที่สุด

อังกฤษยังไม่ประกาศคุมเข้มโควิดครั้งใหม่ แต่จับตาสถานการณ์รายชั่วโมง

          คณะรัฐมนตรีอังกฤษได้เสร็จสิ้นการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน    อย่างไรก็ดี นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวหลังการประชุมว่า รัฐบาลจะยังไม่มีการประกาศมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดครั้งใหม่ แต่จะจับตาดูสถานการณ์เป็นรายชั่วโมง     นายจอห์นสันกล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือกันเกี่ยวกับการออกมาตรการเพิ่มเติมจาก Plan B ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ โดยรัฐบาลจะรอดูข้อมูลใหม่ที่เข้ามาเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อ, ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต และรัฐบาลจะไม่ลังเลใจในการใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น หากมีความจำเป็น

- Advertisement -

Comments
Loading...