GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 19 พ.ย.64 by YLG

262

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรในกรอบจากการแกว่งตัวในทิศทางค่อยๆปรับตัวขึ้น โดยเปิดสถานะซื้อในโซน 1,855-1,841 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาหลุดโซน1,841 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ทยอยขายเพื่อทำกำไรบริเวณ 1,877-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,855 1,841 1,826  แนวต้าน : 1,877 1,889 1,900

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 8.40ดอลลาร์ต่อออนซ์ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนในกรอบ 15 ดอลลาร์ต่อออนซ์  เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบเข้ามาส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา  ทั้งนี้  ราคาทองคำร่วงลงจากระดับสูงสุดของวันบริเวณ 1,870.93 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร  นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากความเห็นในเชิง Hawkish หรือ สนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงิน ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)หลายราย  อาทิ  นายชาร์ลส์อีแวนส์ประธานเฟดชิคาโกซึ่งเป็นหนึ่งเจ้าหน้าที่ในสายพิราบกล่าววานนี้ว่าเขา“เปิดใจกว้าง”สำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้ามากกว่าที่เขาเคยเป็นเมื่อ6เดือนก่อน  ส่วนนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ NPR’s Marketplace ว่าเฟดจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกลางปีหน้าซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่เขาเคยคาดการณ์เอาไว้ในช่วงก่อนหน้า  จุดยืนดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรทองคำออกมาเมื่อราคาทดสอบกรอบบน  ส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ  1,854.95  ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวัน  อย่างไรก็ดี  จะเห็นได้ว่าการปรับตัวลดลงของราคายังคงเป็นไปอย่างจำกัด  เนื่องจากดัชนีดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าจากแรงขายทำกำไร  ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลงหลังจากดีมานด์ในการประมูลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ Treasury Inflation Protected Securities (TIPS) อายุ 10 ปีเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง  สถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยสกัดช่วงติดลบทองคำเอาไว้  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ไม่มีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

แม้ราคาทองคำมีการปรับตัวลดลง แต่ระยะสั้นหากพยายามจะดีดกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,870-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากแรงซื้อเพิ่มขึ้นหรือสามารถยืนเหนือแนวต้านแรกโซน1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างมั่นคง (ระดับสูงสุดของสัปดาห์นี้)จะเกิดแรงซื้อดันให้ราคาปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปโซน1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับโซน1,855-1,841ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แนะนำเก็งกำไรฝั่งซื้อโดยตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุด1,841 ดอลลาร์ต่อออนซ์ปิดสถานะซื้อทำกำไรหากราคาไม่สามารถยืนเหนือโซนแนวต้านบริเวณ 1,877-1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดโควิดกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง1,000 ราย สู่ระดับ 268,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ  อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 260,000 ราย
  • (+) ดอลล์อ่อนค่าจากแรงขายทำกำไร-ปอนด์แข็งรับคาดการณ์ BoE ขึ้นดบ.ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน ขณะที่เงินปอนด์ยังคงยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.30% แตะที่ 95.5414 เมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9255 ฟรังก์ จากระดับ 0.9283 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2607 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2614 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.22 เยน จากระดับ 114.14 เยน  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1372 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1314 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3499 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3484 ดอลลาร์
  • (+) รมว.คลังสหรัฐฯ ยืดเส้นตายเพดานหนี้รัฐถึง 15 ธันวาคม-วอนสภาคองเกรสเร่งลงมือป้องกันวิกฤตสถานภาพการเงินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แจ้งต่อสภาคองเกรสว่า รัฐบาลมีโอกาสจะต้องผิดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หากไม่มีการปรับขึ้นเพดานหนี้รัฐโดยด่วน  แจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุในจดหมายที่ส่งถึงผู้นำสภาคองเกรสทั้งหลายในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นว่า ตนเชื่อว่า กระทรวงการคลังจะไม่มีทรัพยากรเหลือมากเพียงพอที่จะใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของรัฐบาลหลังวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นเส้นตายใหม่ที่ล่าช้ากว่ากำหนดเดิมในวันที่ 3 ธันวาคม ที่เจ้ากระทรวงการคลังระบุในจดหมายถึงสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม หรือหลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐอีก 480,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลไม่ต้องประกาศหยุดทำการชั่วคราวอย่างที่หลายฝ่ายกังวล  ในครั้งนี้ เยลเลน ยังคงเรียกร้องให้สภาคองเกรสจัดการแก้ปัญหาอำนาจการกู้ยืมให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้รัฐบาลไม่ต้องประสบปัญหาผิดชำระหนี้ ที่อาจส่งผลให้เกิดหายนะต่อเศรษฐกิจของประเทศจนถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
  • (-) “ไฟเซอร์” เคาะราคา “แพกซ์โลวิด” ถูกกว่า “โมลนูพิราเวียร์”!บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ เปิดเผยในวันนี้ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ลงนามในข้อตกลงซื้อยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 จำนวน 10 ล้านคอร์ส วงเงิน 5.29 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการส่งมอบภายในปี 2565  ไฟเซอร์ระบุว่า หากยาแพกซ์โลวิดได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ทางบริษัทก็จะเริ่มส่งมอบยาดังกล่าวในปีนี้ และจะส่งมอบครบจำนวนในปีหน้าก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จากบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส วงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์  เมื่อเปรียบเทียบราคายาแพกซ์โลวิดและโมลนูพิราเวียร์ พบว่าราคายาต่อ 1 คอร์สของแพกซ์โลวิดมีราคาถูกกว่าโมลนูพิราเวียร์
  • (-) “เจพีมอร์แกน” คาดเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเดือนก.ย.65 เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนก.ย.2565  ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนระบุในรายงานว่า ทางธนาคารคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2565 และจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป 0.25% ทุกไตรมาส จนกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรืออัตราดอกเบี้ยที่หักด้วยเงินเฟ้อ จะแตะระดับ 0%
  • (-) เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนพ.ย.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ 39.0 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 24.0 จากระดับ 23.8 ในเดือนต.ค. 
  • (+/-) ดาวโจนส์ปิดลบ 60.10 จุด หลังหุ้นซิสโกร่วงหนักดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัท Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก รวมทั้งผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทค้าปลีก เช่น บริษัทโคห์ลส์ คอร์ป  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,870.95 จุด ลดลง 60.10 จุด หรือ -0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,704.54 จุด เพิ่มขึ้น 15.87 จุด หรือ +0.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,993.71 จุด เพิ่มขึ้น 72.14 จุด หรือ + 0.45%

- Advertisement -

Comments
Loading...