บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 17 มี.ค.65 By HGF

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆละ 0.25%

ติดตามดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย

แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย

• ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านมาฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย จากระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ภายหลังเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25%-0.50% ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งนี้เฟดได้ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75%-2.00% ในปลายปีนี้ ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซื้อทองคำสุทธิ 8.7 ตันจากเมื่อวาน
• คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนมี.ค. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 15.1 จาก 16.0 ในเดือนก.พ.  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 221,000 ราย การอนุญาตก่อสร้างบ้านเดือนก.พ. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 1.84 ล้านยูนิต จาก 1.90 ล้านยูนิต ส่วนการเริ่มก่อสร้างบ้านเดือนก.พ. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.70 ล้านยูนิต จาก 1.64 ล้านยูนิต และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% จากที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนม.ค.
• แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,900 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 1,890 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,940 ดอลลาร์ และ 1,960 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

ราคาทองแท่ง 96.5%

โกลด์ฟิวเจอร์ส

สำหรับการเข้าซื้อราคาทอง Spot รอบใหม่ สามารถเข้าซื้อเมื่อราคา spot ปรับลงมาบริเวณ ที่ 1,900 ดอลลาร์ (GF 30,320 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,890 ดอลลาร์ (GF 30,100 บาท)

- Advertisement -

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

สำหรับการเข้าซื้อราคา GOH22 รอบใหม่ สามารถเข้าซื้อเมื่อราคา GOH22 ปรับลงมาบริเวณ ที่ 1,902 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,892 ดอลลาร์

ค่าเงิน

ค่าเงินบาทเมื่อวานนี้แข็งค่าเล็กน้อบ หลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องมากสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ทั้งนี้แนวโน้มค่าเงินบาทคาดว่าอ่อนค่าได้ต่อ สำหรับ USD Futures เดือนมี.ค.65 มีแนวรับที่ 33.10 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.70 บาท/ดอลลาร์

News

นายกฯอังกฤษบินหารือ UAE-ซาอุฯ หาแหล่งพลังงานเพิ่มทดแทนน้ำมันรัสเซีย

          นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดหาปริมาณน้ำมันเพิ่มเติม และเพิ่มแรงกดดันต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อังกฤษและชาติตะวันตกกำลังเผชิญกับราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น นายจอห์นสันจึงหวังจะสนับสนุนให้ผู้ผลิตเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และหาแหล่งน้ำมันอื่น ๆ เพื่อพยายามช่วยเหลือผู้บริโภค และลดพึ่งพาการส่งออกของรัสเซีย   นายจอห์นสันจะเข้าพบกับเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน มกุฎราชกุมารใน UAE ก่อนเดินทางไปยังซาอุดีอาระเบียเพื่อพบกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร    นายจอห์นสันแถลงก่อนการพบปะดังกล่าวว่า “อังกฤษกำลังสร้างพันธมิตรระดับนานาชาติเพื่อจัดการกับความเป็นจริงใหม่ที่เราเผชิญ โลกต้องเลิกใช้ไฮโดรคาร์บอนของรัสเซีย และเลิกเสพติดน้ำมันและก๊าซของปูติน”      นายจอห์นสันระบุเสริมว่า “ซาอุดีอาระเบียและ UAE เป็นพันธมิตรนานาชาติที่สำคัญในด้านความพยายามดังกล่าว เราจะทำงานร่วมกับพวกเขาเพื่อสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค ส่งเสริมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และทำให้ตลาดพลังงานโลกมีเสถียรภาพในระยะยาว”

นาโตเล็งเพิ่มกำลังทหารในปท.พันธมิตรยุโรปตะวันออก รับมือรัสเซียบุกยูเครน

          องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาการทหารเร่งจัดทำแผนการใหม่เพื่อยับยั้งปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน ซึ่งรวมถึงการเสริมกำลังทหารและติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปตะวันออก   รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจากนานาประเทศจะออกคำแนะนำต่อกองทัพ ณ สำนักงานใหญ่ของนาโต ก่อนที่ผู้นำของชาติพันธมิตรนาโต รวมถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จะมาร่วมประชุมกัน ณ กรุงบรัสเซลล์ในวันที่ 24 มี.ค.  ทั้งนี้ นายโอเลกซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกลาโหมของยูเครนจะร่วมหารือด้วย โดยคาดว่ายูเครนจะเรียกร้องให้ชาติสมาชิกนาโตช่วยจัดส่งอาวุธให้ยูเครนเพิ่มเติม เนื่องจากรัสเซียยังเดินหน้าถล่มเมืองต่าง ๆ ของยูเครน ขณะที่พยายามเข้ายึดครองกรุงเคียฟ   “เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกำลังทหารใหม่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น” นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตกล่าว “รมว.กลาโหมจะเริ่มการหารือที่สำคัญเพื่อกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการเสริมความแข็งแกร่งในด้านความมั่นคงในระยะยาว”

IMF คาดสงครามรัสเซีย-ยูเครนพ่นพิษฉุดเศรษฐกิจโลก แต่กระทบเอเชียแค่จำกัด

          กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า การทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก โดยจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจอ่อนแอลง และทำให้เงินเฟ้อที่เกิดจากราคาอาหารและพลังงานปรับตัวสูงขึ้น     IMF คาดว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนแค่ในวงจำกัด เมื่อพิจารณาจากการที่ประเทศเอเชียไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับทั้งสองประเทศ แต่คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปและทั่วโลกจะชะลอตัวลง เนื่องจากรัสเซียและยูเครนต่างก็เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่    ทั้งนี้ IMF ระบุว่า ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเกิดขึ้นผ่าน 3 ช่องทางหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์, เศรษฐกิจของบรรดาประเทศเพื่อนบ้านจะได้รับผลกระทบรุนแรงเนื่องจากภาวะชะงักงันด้านการค้าและจำนวนผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลง รวมทั้งความไม่แน่นอนในหมู่นักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย      รัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกก๊าซรายใหญ่สุดของโลกด้วย