GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 17 ธ.ค.64 by YLG

253

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรระยะสั้นการเข้าซื้อควรรอราคาอ่อนตัวลงบริเวณแนวรับ 1,787-1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากราคาขยับขึ้นควรแบ่งขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านโซน 1,808-1,821 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ

แนวรับ : 1,783 1,767 1,753  แนวต้าน : 1,808 1,821 1,854

จจัยพื้นฐาน 

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.50ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่  (1.) ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.33755 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.  หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ  และได้กลายเป็นธนาคารกลางขนาดใหญ่แห่งแรกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19  (2.) ยูโรแข็งค่าแตะระดับสูงสุดของเดือนนี้ที่ 1.136 หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ประกาศว่าจะ “” วงเงินซื้อพันธบัตรในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP)ในไตรมาสหน้าและยุติโครงการดังกล่าวในเดือนมี.ค. 2022แม้ว่าจะเน้นย้ำถึงความยืดหยุ่นของนโยบายการเงินก็ตาม  ซึ่งจะเห็นได้ว่าจุดยืนด้านนโยบายการเงินของทั้ง BoE และ ECB ค่อนข้าง Hawkish มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าจนเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ  (3.) การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่แย่เกินคาด  อาทิ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการและ (4.) แรงซื้อตามทางเทคนิค  หลังจากปัจจัย 3 ประการแรกได้ดันให้ทองคำทะลุผ่านระดับสูงสุดของสัปดาห์ก่อนหน้าและเส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 วัน  นั่นทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นต่อจนกระทั่งขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 สัปดาห์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ไม่มีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ แต่อาจจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)

- Advertisement -

จจัยทางเทคนิค :

ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุด 1,787-1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะมีโอกาสดีดตัวขึ้น โดยหากยืนเหนือแนวต้านบริเวณ 1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ การขยับขึ้นจะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,821 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากหลุดแนวรับแรก แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 1,767ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นการซื้อขายทำกำไรระยะสั้น โดยอาจใช้บริเวณ 1,787-1,783ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดเสี่ยงซื้อ หากหลุดแนวรับ 1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ให้ตัดขาดทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยง ขณะที่หากราคาดีดตัวขึ้นแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,808-1,821ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น18,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ราย
  • เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวานนี้ ซึ่งเหนือความคาดหมายของตลาด ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่า หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรในการประชุมเมื่อวานนี้  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.48% แตะที่ 96.0498 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1324 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1272 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3308 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3235 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7171 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7142 ดอลลาร์สหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.59 เยน จากระดับ 114.08 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9193 ฟรังก์ จากระดับ 0.9257 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2795 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2873 ดอลลาร์แคนาดา
  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงเกือบ 2.5% เนื่องจากเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,897.64 จุด ลดลง 29.79 จุด หรือ -0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,668.67 จุด ลดลง 41.18 จุด หรือ -0.87% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,180.43 จุด ร่วงลง 385.15 จุด หรือ -2.47%
  • ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 56.9 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 57.2 ในเดือนพ.ย.  อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และการดีดตัวขึ้นของความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ แม้ว่าการจ้างงานได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน  ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 57.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน จากระดับ 58.3 ในเดือนพ.ย. สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 57.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย.
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 11.8% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.679 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.568 ล้านยูนิต จากระดับ 1.502 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.
  • ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันนี้ ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์  ทั้งนี้ ที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%  ขณะเดียวกัน ECB ระบุว่า ทางธนาคารจะซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านยูโร/เดือนภายใต้โครงการ Asset Purchase Programme (APP) ในไตรมาส 2 ของปี 2565 และลดวงเงินสู่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโรในไตรมาส 3 ขณะที่คงวงเงินที่ระดับ 2 หมื่นล้านยูโรตั้งแต่เดือนต.ค.2565 และจะซื้อพันธบัตรนานเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาด  นอกจากนี้ ECB จะลดวงเงินซื้อพันธบัตรในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) และจะยุติโครงการดังกล่าวในเดือนมี.ค.2565
  • ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) สร้างความประหลาดใจต่อตลาดการเงิน โดยมีมติ 8-1 เสียงในการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ในการประชุมวันนี้เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ  นอกจากนี้ BoE มีมติ 9-0 เสียง สนับสนุนการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงิน 8.75 แสนล้านปอนด์ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

- Advertisement -

Comments
Loading...