GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 16 ธ.ค.64 by YLG

229

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาในบริเวณแนวรับ 1,769-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุน 1,753 ดอลลาร์ต่อออนซ์)พิจารณาแบ่งขายทำกำไรในโซน 1,793-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านให้ชะลอการขายทำกำไรออกไป

แนวรับ : 1,767 1,753 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.00ดอลลาร์ต่อออนซ์  ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดทั้งวัน  โดยก่อนการเปิดเผยการประชมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประจำเดือนธ.ค. ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นในระยะสั้นหลังสหรัฐเผยตัวเลขยอดค้าปลีกที่ออกมาอ่อนแอเกินคาด  ก่อนที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงแรง  หลังจากเฟดมีมติ“คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% และประกาศปรับ “เพิ่ม” วงเงินในการ Taper QE จากเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์โดยเริ่มดำเนินการม.ค. ปี 2022 ตามคาด  นอกจากนี้เฟดยังปรับ “เพิ่ม” คาดการณ์ GDP ปี 2022, “ลด” คาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2022 และ “เพิ่ม” คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2022ที่สำคัญ  คือ  Dot plot สะท้อนว่าเจ้าหน้าที่เฟดสนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง  3 ครั้งในปี 2022 ซึ่งถือว่าHawkish มากกว่าการคาดการณ์บางส่วนของตลาด นั่นทำให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่  96.906จนเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,753.96 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำฟื้นตัวอย่างแกร่งในเวลาต่อมา  จากแรงซื้อ Buy the dip และแรงซื้อทางเทคนิคหลังจากราคาเกิดสัญญาณ RSI Bullish Divergence  ขณะที่ดัชนีดอลลาร์เผชิญกับแรงขายทำกำไร(sell on fact) เนื่องจากผลการประชุมถือว่าชัดเจนและไม่ได้ห่างไกลจากการคาดการณ์ของตลาดมากนัก ส่งผลให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ1,780.74 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -2.90 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการ  และจับตาผลการประชุมธนาคารอังกฤษ(บีโออี) และธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)

จจัยทางเทคนิค :

หลังจากวานนี้ราคาปรับตัวลงแต่ก็มีแรงซื้อดันราคาดีดตัวขึ้นเช่นกัน หากราคายืนเหนือโซน 1,769-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อาจทำให้เห็นการดีดตัวขึ้นเพื่อพยายามทดสอบแนวต้าน1,793-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากยังไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านได้ อาจเห็นการย่อตัวของราคาลงเพื่อสร้างฐานราคาอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นทำกำไรระยะสั้นโดยเปิดสถานะซื้อ หากราคาไม่หลุด 1,769-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา อาจรอเปิดสถานะซื้อในโซนดังกล่าว เพื่อหวังขายทำกำไรหากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านโซน 1,793-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามควรลดสถานะซื้อลงหากราคาหลุด 1,753 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ย.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.  ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ลดลง 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.
  • (+) WHO เตือนโควิดสายพันธุ์โอมิครอนสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงแพทย์หญิงมาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าแผนกโรคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ประเทศต่างๆไม่ควรมองว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เนื่องจากสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักได้
  • (+) ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อย หลังผลประชุมเฟดเป็นไปตามคาดดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) หลังจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ย.  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.05% แตะที่ 96.5179 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.08 เยน จากระดับ 113.73 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9257 ฟรังก์ จากระดับ 0.9242 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2873 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2855 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1272 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1257 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3235 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3220 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7142 ดอลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7105 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจสูงกว่าคาดในเดือนต.ค.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 1.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.ย.  เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 7.8% ในเดือนต.ค.
  • (-) สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสูงสุดในรอบปีในเดือนธ.ค.สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านปรับตัวขึ้น 1 จุด สู่ระดับ 84 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปีนี้ เทียบเท่ากับเดือนก.พ.  ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาด แม้ถูกกดดันจากการขาดแคลนแรงงาน และราคาวัสดุก่อสร้างที่พุ่งขึ้น
  • (-) อังกฤษติดโควิดวันเดียวเกือบ 80,000 ราย สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 63กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษเปิดเผยว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 78,610 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศอยู่ที่ 11,010,286 ราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ อินเดีย และบราซิล
  • (-)ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 383.25 จุด ขานรับเฟดพูดชัดยุติ QE เดือนมี.ค.ปีหน้าดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศชัดเจนว่าจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนมี.ค. 2565 ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,927.43 จุด เพิ่มขึ้น 383.25 จุด หรือ +1.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,709.85 จุด เพิ่มขึ้น 75.76 จุด หรือ +1.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,565.58 จุด เพิ่มขึ้น 327.94 จุด หรือ + 2.15%
  • (+/-) เฟดคงดอกเบี้ย,หั่น QE เดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ สอดคล้องคาดการณ์คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมวันนี้  ขณะเดียวกัน เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2565 โดยการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565นอกจากนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และจำนวน 2 ครั้งในปี 2566 และอีก 2 ครั้งในปี 2567ทั้งนี้ การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดวงเงิน QE ในวันนี้สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาว่าเฟดจะเร่งการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่เฟดได้เริ่มใช้ในเดือนมี.ค.2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

- Advertisement -

Comments
Loading...