GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 13 ธ.ค.64 by YLG

260

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่ทะลุแนวต้าน 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แนะนำเปิดสถานะขายในโซนดังกล่าว(ตัดขาดทุนหากผ่านโซน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ประเมินแนวรับบริเวณ 1,769-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,767 1,751 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.10ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ในระหว่างการซื้อขายของตลาดเอเชีย  ราคาทองคำจะค่อยๆปรับตัวลดลงจนกระทั่งทดสอบระดับต่ำสุดในระหว่างวันบริเวณ 1,769.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์  เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังในการถือครองสถานะทองคำก่อนการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐท่ามกลางการคาดการณ์ว่า  เงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาด  อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เร่งคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง  ในทันทีที่สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 6.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.1982ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 1991ทั้งนี้  แม้ว่าดัชนี CPI ทั่วไปจะสูงกว่าที่ฉันทามติของนักวิเคราะห์(Consensus) เล็กน้อย  แต่ก็ถือว่าไม่ได้ร้อนแรงเท่าที่นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนคาดการณ์ไว้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพ.ย.อาจพุ่งขึ้นเหนือ 7% นั่นทำให้ตลาด “ลด” การคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในปีหน้าเพื่อสกัดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ  สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ ตอบสนองด้วยการอ่อนค่าลง 0.16% ปิดตลาดในวันศุกร์ที่96.05ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทะยานขึ้นเกือบ 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับต่ำสุดในระหว่างวันสู่ระดับสูงสุดบริเวณ  1,789.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

บริเวณแนวต้านที่ 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าราคายังไม่สามารถผ่านได้ นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นยังคงมีแรงขายออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากการอ่อนลงของราคาไม่หลุดโซนแนวรับอยู่ที่ 1,767-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประเมินว่าราคาจะพยายามสร้างฐานราคา

กลยุทธ์การลงทุน :

หากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำเปิดสถานะขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว(ตัดขาดทุนสถานะขายหากราคาผ่านแนวต้านโซน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ทั้งนี้ ราคาอ่อนตัวลงให้พิจารณาโซน 1,769-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะขายทำกำไร

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐสั่งคว่ำบาตรจีน, เมียนมาและเกาหลีเหนือ เซ่นปมละเมิดสิทธิมนุษยชนสหรัฐกำหนดมาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับจีน, เมียนมา,  เกาหลีเหนือ และบังกลาเทศ รวมทั้งได้เพิ่ม เซนส์ไทม์ กรุ๊ป (SenseTime Group) ซึ่งเป็นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ของจีนไว้ในบัญชีดำด้านการลงทุนด้วยแคนาดาและสหราชอาณาจักร (UK) เข้าร่วมกับสหรัฐในการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมาด้วยทั้งนี้ สหรัฐได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อเกาหลีเหนือเป็นครั้งแรกภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน และมุ่งเป้าไปที่การคว่ำบาตรหน่วยงานทางทหารของเมียนมาด้วย เนื่องในโอกาสครบรอบวันสิทธิมนุษยชนสากล (10 ธ.ค.)
  • (+) ดอลล์อ่อนค่า แม้สหรัฐเผยเงินเฟ้อพุ่งดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (10 ธ.ค.) แม้รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีก็ตามทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.18% แตะที่ 96.0972  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.42 เยน จากระดับ 113.47 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9209 ฟรังก์ จากระดับ 0.9244 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2728 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2719 ดอลลาร์แคนาดายูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1311 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1288 ดอลลาร์, ปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3257 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3209 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7169 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7145 ดอลลาร์
  • (-) ผู้เชี่ยวชาญ UK ชี้วัคซีนบูสเตอร์ป้องกันโอมิครอนแบบมีอาการได้ 70-75%สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) เปิดเผยในวันศุกร์ (10 ธ.ค.) ว่า สหราชอาณาจักร (UK) จะมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมากกว่า 1 ล้านรายภายในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ หากแนวโน้มในปัจจุบันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ระบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการได้ 70-75%  UKHSA ระบุในแถลงการณ์ว่า “ข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงแรกหลังจากการฉีดบูสเตอร์ โดยสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณ 70-75%”  ดร.แมรี แรมเซย์ หัวหน้าฝ่ายการสร้างภูมิคุ้มกันที่ UKHSA ได้เรียกร้องให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 216.30 จุด รับข้อมูลเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (10 ธ.ค.) หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยตลาดปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่เป็นไปตามคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งได้ช่วยลดแรงกดดันของนักลงทุนที่วิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรุนแรงดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,970.99 จุด เพิ่มขึ้น 216.30 จุด หรือ +0.60%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,712.02 จุด เพิ่มขึ้น 44.57 จุด หรือ +0.95% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,630.60 จุด เพิ่มขึ้น 113.23 จุด หรือ +0.73%
  • (-) ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 70.4 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 67.4 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 67.1
  • (+/-) สหรัฐเผยดัชนี CPI พุ่ง 6.8% ในเดือนพ.ย. สูงสุดเกือบ 40 ปีกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 6.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.7%   นอกจากนี้ ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.7%   ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 13 ปี เมื่อเทียบรายปีขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และพุ่งขึ้น 4.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2534 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน

- Advertisement -

Comments
Loading...