เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด
บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 13 ก.พ.66 By เล่งหงษ์ คอมโมดิตีส์ – LHC
- Advertisement -
โดย : บริษัท เล่งหงษ์ คอมโมดิตีส์ จำกัด
ภาพรวมทิศทางราคาทอง
- Advertisement -
- ราคาทองคำ Gold Spot สัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1890-1850$ ภาพรวมยังคงไม่มีท่าทีว่าจะลงต่ออย่างชัดเจน
- ทางด้านกองทุน SPDR สัปดาห์นี้ แทบไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับราคาทอง
สรุปข่าวเด่น รายสัปดาห์
- ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve โดยอัตราผลตอบแทนพัทธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินบาทแข็งค่ามากเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย รองจากรูเปียห์อินโดนีเซีย ด้าน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเร็วๆ นี้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐพร้อมยืนยันว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังดูแลอยู่
- Jamie Dimon ซีอีโอชื่อดังของ JPMorgan Chase ธนาคารยักษ์ใหญในสหรัฐอเมริกา ออกมาเตือนว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่สหรัฐฯ จะประกาศชัยชนะเหนือเงินเฟ้อ พร้อมระบุว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย นโยบายทะลุระดับ 5% หากการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อมีความหนืด
- แบงก์ชาติอังกฤษ (BoE) ก็เปิดตัวโครงการ “ปอนด์ดิจิทัล” อย่างเป็นทางการ พร้อมเผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็น
- ต่อแนวทางการพัฒนา แจงวัตถุประสงค์และความจำเป็นของ CBDC รวมถึงเอกสารในทางเทคนิค แต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะออกใช้งานเมื่อไหร่
- หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐในปี 2565 เพิ่มขึ้น 12.2% หรือเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากชาวอเมริกันซื้อเครื่องจักร ยา เวชภัณฑ์ อุตสาหกรรม และชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่ง จัดโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตันว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะในภาคสินค้าแต่การชะลอตัวอย่างยั่งยืนของเงินเฟ้อนั้นยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน “ผมคาดว่า ปี 2566 จะเป็นปีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนม.ค.ได้เน้นย้ำ ถึงความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และผมมองว่าเฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่คุมเข้ม (Restrictive Level) เอาไว้อีกระยะหนึ่ง”