GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 10 พ.ย.64 by YLG

298

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากราคาไม่สามารถยืนเหนือโซนแนวต้านแรกบริเวณ โซน 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ราคามีโอกาสขยับลงเพื่อทดสอบแนวรับบริเวณ 1,813-1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,810 1,796 1,785  แนวต้าน : 1,833 1,845 1,854

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น  7.90ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยเป็นการปรับตัวขึ้น 4 วันทำการติดต่อกัน  ขณะที่วานนี้  ราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์  รวมไปถึงแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ  หลังดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน แม้จะสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์  แต่พบว่าเมื่อเทียบรายปีดัชนีPPI พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2010 บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อระดับสูงยังคงดำเนินต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ Treasury Inflation Protected Securities (TIPS) อายุ 10 ปีร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ -1.21% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้ออายุ 30 ปีแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ -0.592% ซึ่งนอกจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจะสะท้อนความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อในตลาดแล้วนั้น  ยังช่วยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนรูปแบบของดอกเบี้ยอีกด้วยปัจจัยที่กล่าวมา  ส่งผลให้ราคาทองคำในระหว่างวันปรับตัวลงไม่มากโดยลงมาทำระดับต่ำสุดเพียง 1,818.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่จะดีดทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนครั้งใหม่ที่ 1,832.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย  รวมถึงการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

ราคาทองคำพยายามทรงตัวหลังจากวานนี้ราคาปรับตัวขึ้นต่อ แต่แรงซื้อเริ่มจำกัด เนื่องจากโซน 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นระดับสูงสุดของเดือน  ก.ค.,ส.ค.,ก.ย. หากพยายามทดสอบแนวต้านดังกล่าวหลายครั้ง แต่ไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านได้ อาจเห็นการย่อตัวของราคาลงเพื่อสร้างฐานราคาอีกครั้งประเมินแนวรับบริเวณ 1,810-1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

ดูบริเวณ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่ผ่านได้แนะนำเสี่ยงเปิดสถานะขายทำกำไรระยะสั้น(ตัดขาดทุนหากยืนได้) รอเข้าซื้อคืนเพื่อทำกำไรเมื่อราคาอ่อนลงหรือไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,813-1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาหลุดแนวรับแรกให้รอเข้าซื้อคืนบริเวณแนวรับถัดไปโซน  1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) ดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนจับตาตัวเลข CPI สหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมทั้งถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.1% แตะที่ 93.9606 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 112.83 เยน จากระดับ 113.22 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9104 ฟรังก์ จากระดับ 0.9132 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2437 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2444 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1593 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1588 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3561 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3555 ดอลลาร์
  • (+) ดาวโจนส์ปิดลบ 112.24 จุดจากแรงขายทำกำไร-วิตกเงินเฟ้อดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดปิดทำนิวไฮติดต่อกันหลายวัน นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐยังส่งผลให้เกิดแรงเทขายหุ้นเป็นวงกว้าง  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,319.98 จุด ลดลง 112.24 จุด หรือ -0.31%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,685.25 จุด ลดลง 16.45 จุด หรือ -0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,886.54 จุด ลดลง 95.81 จุด หรือ -0.60%
  • (+) สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมต่ำกว่าคาดในเดือนต.ค.สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงในวันนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมร่วงลงสู่ระดับ 98.2 ในเดือนต.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 99.5 จากระดับ 99.1 ในเดือนก.ย.  ทั้งนี้ ปัจจัย 7 ใน 10 รายการที่ใช้คำนวณดัชนีได้ปรับตัวลงในเดือนต.ค. ขณะที่ 1 รายการปรับตัวขึ้น และ 2 รายการทรงตัว
  • (+) ZEW เผยดัชนีความเชื่อมั่นเยอรมนีสูงกว่าคาดในเดือนพ.ย.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 31.7 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 22.3 ในเดือนต.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 20.0
  • (+) ไต้หวัน ชี้ จีนใช้ ‘กลยุทธ์สงครามสีเทา’ ลดทอนศักยภาพด้านการทหารของไต้หวันทางการไต้หวันเผยรายงานที่ชี้ว่า จีนเดินหน้ากลยุทธ์สงครามสีเทา เพื่อหวังลดทอนศักยภาพทางการทหารของไต้หวัน และถือเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง ตามรายงานของเอพีและรอยเตอร์  กระทรวงกลาโหมไต้หวัน เปิดเผยรายงานที่จัดทำขึ้นทุก 2 ปี เมื่อวันอังคาร (9 พฤศจิกายน) ชี้ว่า จีนเดินหน้ากลยุทธ์สงครามสีเทา ด้วยการที่จีนรุกคืบด้านสงครามไซเบอร์ การเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ การทำให้ไต้หวันโดดเดี่ยวจากประชาคมระหว่างประเทศ ไปจนถึงมาตรการบังคับให้รวมชาติโดยไม่ต้องเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง 
  • (-) “ทิม คุก” ยอมรับถือครองสกุลเงินดิจิทัลในพอร์ทลงทุน นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทแอปเปิล อิงค์ กล่าวยอมรับในวันนี้ว่า เขาได้ถือครองสกุลเงินดิจิทัลสำหรับการกระจายการลงทุนสินทรัพย์ในพอร์ทนายคุกกล่าวว่า เขาได้ให้ความสนใจและค้นคว้าเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตระยะหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่เขากล่าวในวันนี้ไม่ใช่คำแนะนำให้คนอื่นเข้าลงทุนในสกุลเงินดังกล่าว  นอกจากนี้ นายคุกระบุว่า คำกล่าวของเขาถือเป็นมุมมองส่วนตัวของเขาเอง และไม่ได้หมายความว่าบริษัทแอปเปิลมีแผนที่จะรับสกุลเงินดิจิทัลจากลูกค้าทดแทนเงินสดในการซื้อสินค้า และแอปเปิลไม่มีแผนที่จะเข้าลงทุนในสกุลเงินคริปโตแต่อย่างใด
  • (+/-) สหรัฐเผยดัชนี PPI พุ่งเป็นประวัติการณ์ 8.6% ในเดือนต.ค.กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2553 หลังจากดีดตัวขึ้น 8.6% เช่นกันในเดือนก.ย.  ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2553
  • (+/-) “พาวเวล” หนุนลดความเหลื่อมล้ำ หวังผลักดันจ้างงานเต็มศักยภาพ  นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดจะพิจารณาสิ่งบ่งชี้ในวงกว้างเพื่อประเมินภาวะการจ้างงานเต็มศักยภาพ  “เมื่อเราทำการประเมินว่า ภาวะการจ้างงานเต็มศักยภาพแล้วหรือไม่ เราจะพิจารณาจากสิ่งบ่งชี้ในวงกว้าง นอกเหนือจากการดูตัวเลขสำคัญ” นายพาวเวลกล่าวในการเสวนาผ่านระบบออนไลน์  นายพาวเวลยังระบุว่า เฟดจะให้ความสำคัญต่อความเหลื่อมล้ำในตลาดแรงงาน โดยเศรษฐกิจจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น หากประชาชนจำนวนมากสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงาน

- Advertisement -

Comments
Loading...