GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 1 ธ.ค.64 by HGF

246

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

เฟดส่งสัญญาณปรับลด QE มากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

คืนนี้สหรัฐจะประกาศการจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศ

ราคาทองคำคาดปรับลดลง

  • ราคาทองคำ Spot เมื่อวานช่วงกลางวันเคลื่อนไหวทรงตัว ในขณะที่ช่วงกลางคืนมีแรงเทขายทองคำออกมา ภายหลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณยุติมาตรการ QE เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเฟดอาจปรับลดวงเงิน QE มากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งจะมีการหารือในการประชุมนโยบายการเงินในการประชุมครั้งต่อไปที่ 14-15 ธ.ค. ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ถือครองทองคำเท่าเดิมเมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐจะประกาศการจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศเดือนพ.ย. ของ ADP ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น525,000 ตำแหน่ง จากเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 571,000 ตำแหน่ง และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ย.โดย ISM ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 61.3 จาก 60.8 นอกจากนี้ติดตามการแถลงของประธานเฟดในช่วงเวลา 4 ทุ่มตามเวลาไทย
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดปรับลดลงโดยมีแนวต้าน 1,780 ดอลลาร์ และ 1,800 ดอลลาร์ขณะที่มีแนวรับที่ 1,770 ดอลลาร์ และ 1,760 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,773.90-10.31,770/1,7601,780/1,800

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,650-5028,200/28,10028,400/28,700

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,530-25028,370/28,25028,560/28,850

การเข้าซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวแนะนำเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,760ดอลลาร์ (GF 28,250บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,750ดอลลาร์ (GF28,100บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,777.70-21.101,771/1,7611,781/1,801

การเข้าซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวแนะนำเมื่อราคาGOZ21ปรับลงมาที่ 1,761 ดอลลาร์โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,751ดอลลาร์

- Advertisement -

ค่าเงิน

ทิศทางค่าเงินบาทในวันนี้คาดอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณยุติมาตรการ QE เร็วกว่าที่คาดไว้โดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน33.94บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ:ดอลล์อ่อนค่าคาดเฟดไม่เร่งขึ้นดบ.หลังโอไมครอนระบาด

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา (30 พ.ย.) หลังมีกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนทั้งนี้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.33% แตะที่ 96.0105 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ :ทองปิดลบ $8.7 หลังพาวเวลส่งสัญญาณยุติQE เร็วกว่าคาด

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนที่ผ่านมา (30 พ.ย.) หลังจากนายเจอโรมพาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 8.7 ดอลลาร์หรือ 0.49% ปิดที่ 1,776.5 ดอลลาร์/ออนซ์สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.7 เซนต์หรือ 0.16% ปิดที่ 22.815 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดร่วง $3.77 กังวลวัคซีนต้านโอไมครอนไม่อยู่

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 5% เมื่อคืนที่ผ่านมา (30 พ.ย.) หลังจากผู้บริหารของบริษัทโมเดอร์นาเตือนว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 3.77 ดอลลาร์หรือ 5.4% ปิดที่ 66.18 ดอลลาร์/บาร์เรลซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2564  สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 2.87 ดอลลาร์หรือ 3.9% ปิดที่ 70.57 ดอลลาร์/บาร์เรล

ตลาดหุ้นต่างประเทศ :ดาวโจนส์ปิดร่วง 652.22 จุดกังวลเฟดยุติQE เร็วกว่าคาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (30 พ.ย.) หลังจากนายเจอโรมพาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ผู้บริหารของบริษัทโมเดอร์นาเตือนว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,483.72 จุดลดลง 652.22 จุดหรือ -1.86%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,567.00 จุดลดลง 88.27 จุดหรือ -1.90% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,537.69 จุดลดลง 245.14 จุดหรือ -1.55%

สหรัฐเริ่มบังคับใช้คำสั่งแบนผู้เดินทางจาก8ประเทศแอฟริกาสกัดโอไมครอน

รัฐบาลสหรัฐเริ่มบังคับใช้คำสั่งห้ามชาวต่างชาติจาก8ประเทศในทวีปแอฟริกาตอนใต้เดินทางเข้าสหรัฐเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์โอไมครอนที่พบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้โดยประเทศทั้ง8ได้แก่บอตสวานา, ซิมบับเว, นามิเบีย, เลโซโท, เอสวาตีนี, โมซัมบิก, มาลาวีและแอฟริกาใต้ภายใต้มาตรการคุมเข้มด้านการเดินทางที่บังคับใช้ล่าสุดนี้ชาวต่างชาติที่เดินทางมาจาก8ประเทศดังกล่าวในช่วง14วันที่ผ่านมาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐส่วนพลเมืองของสหรัฐและผู้ถือวีซ่าอยู่อาศัยถาวรในสหรัฐจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐได้ประธานาธิบดีโจไบเดนได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดที่ทำเนียบขาวโดยระบุว่ารัฐบาลสหรัฐไม่มีนโยบายที่จะประกาศล็อกดาวน์เศรษฐกิจเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์โอไมครอนปธน.ไบเดนเรียกร้องประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเนื่องจากเชื่อว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวได้ในระดับหนึ่งพร้อมกับแนะนำให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือวัคซีนเข็มบูสเตอร์หากได้รับวัคซีนครบโดสแล้วเป็นเวลากว่า6เดือน  “ถ้าประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัยก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล็อกดาวน์และจะไม่มีการประกาศห้ามการเดินทางครั้งใหม่ไม่ช้าก็เร็วเราจะเห็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนในสหรัฐดังนั้นกรุณาสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในอาคารหรืออยู่ในที่สาธารณะซึ่งมีผู้คนจำนวนมาก” ปธน.ไบเดนกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้

โมเดอร์นาชี้วัคซีนเดิมต้านโอไมครอนได้น้อยลงเตือนใช้เวลาหลายเดือนผลิตใหม่

นายสเตฟานบันเซลประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทโมเดอร์นาอิงค์เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ในวันนี้ว่าเขาคาดว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนพร้อมกับเตือนว่าบรรดาบริษัทเวชภัณฑ์อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนจึงจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้อย่างเพียงพอนายบันเซลกล่าวว่าการที่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ที่สูงมากในส่วนของโปรตีนหนามหรือสไปค์โปรตีน (Spike Protein) และการที่ไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในแอฟริกาใต้ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับสูตรวัคซีนในปีหน้า “ผมคิดว่าประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะไม่เท่ากับสายพันธุ์เดลตาผมคิดว่าประสิทธิภาพจะลดลงผมไม่รู้ว่าจะลดลงมากเพียงใดเพราะเราต้องรอข้อมูลแต่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่ผมได้พูดคุยด้วยนั้นต่างก็ประเมินว่าประสิทธิภาพจะไม่ดีนัก” นายบันเซลกล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์การแสดงความเห็นล่าสุดของซีอีโอโมเดอร์นาส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ทรุดตัวลงกว่า 600 จุดในช่วงบ่ายวันนี้เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแม้ว่าดร.แองเจลีคโคทซีประธานสมาคมการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้และเป็นคนแรกที่ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้เปิดเผยว่านับจนถึงขณะนี้พบว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโอไมครอนนั้นมีอาการป่วยไม่รุนแรงด้านนายเจอโรมพาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้และการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจะส่งผลให้การจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลงและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐ

“พาวเวล” กังวลไวรัสโอไมครอนอาจทำเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงเผชิญภาวะขาลง นายเจอโรมพาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้และการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจะส่งผลให้การจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลงและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐ  “ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับไวรัสจะทำให้ประชาชนไม่เต็มใจที่จะกลับไปทำงานในออฟฟิศซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดแรงงานชะลอตัวลงและยิ่งทำให้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานมีความตึงเครียดมากขึ้น” นายพาวเวลกล่าวในร่างแถลงการณ์ที่เตรียมไว้เพื่อแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐในช่วงเช้าวันนี้ (30 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐนายพาวเวลกล่าวว่าภาวะไร้สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานซึ่งมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นเป็นผลมาจากราคาที่พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในบางรายการโดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พุ่งขึ้น 5% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบเป็นรายปี  “เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อและผลกระทบด้านอุปทานจะยืดเยื้อเพียงใดแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ก็คือปัจจัยต่างๆที่กำลังผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้านอกจากนี้ตลาดแรงงานที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและค่าแรงที่สูงขึ้นนั้นก็เป็นปัจจัยที่หนุนตัวเลขเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเช่นกัน” นายพาวเวลกล่าวสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่านางเจเน็ตเยลเลนรัฐมนตรีคลังสหรัฐจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการฯร่วมกับนายพาวเวลในครั้งนี้ด้วยโดยทั้งนายพาวเวลและนางเยลเลนจะต้องยื่นรายงานต่อสภาคองเกรสในทุกไตรมาสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งบังคับใช้ในเดือนมี.ค. 2563 โดยรายงานดังกล่าวครอบคลุมถึงโครงการปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินของเฟดด้วย

- Advertisement -

Comments
Loading...