โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
ราคาอาจขึ้นไปทดสอบแนวต้านโซนที่ 1,900-1,906 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคายืนไม่ได้อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา เมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงจะมีแนวรับบริเวณ 1,870-1,859 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,870 1,859 1,845 แนวต้าน : 1,906 1,918 1,934
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ในระหว่างวันราคาทองคำจะทะยานขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 1,889.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ท่ามกลางการแข็งค่าของยูโรและปอนด์ หลังจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งยุโรปที่ออกมาดีเกินคาด อาทิ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของสหราชอาณาจักร ที่ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 62.0 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี สถานการณ์ดังกล่าวกดดันให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือนบริเวณ 89.65 จนเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นแรง อย่างไรก็ดี ราคาทองคำปรับตัวลงแรงในทันทีที่มาร์กิตเปิดเผยว่าดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวเกินคาดสู่ระดับ 68.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนการขยายตัวควบคู่กันทั้งภาคการผลิตและบริการ ส่งผลให้ดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวัน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นขานรับตัวเลขดังกล่าวเช่นกัน จนเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงแรงสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,870.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะมีแรงซื้อในช่วงปลายตลาดหนุนให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นมาปิดตลาดบริเวณ 1,880.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มอีก +5.83 ตันโดยเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ติดต่อกัน สำหรับวันนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ แต่แนะนำติดตามถ้อยแถลงของนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา และนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด
ปัจจัยทางเทคนิค :
ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุด 1,875-1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นราคายังคงมีรูปแบบแกว่งตัวในลักษณะค่อยปรับตัวขึ้น ซึ่งมีโอกาสดีดตัวขึ้นทดสอบบริเวณ 1,900-1,906 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำหลุดแนวรับดังกล่าว มีโอกาสปรับตัวลงไปหาแนวรับถัดไปที่ 1,859 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
แนะนำเปิดสถานะซื้อ โดยอาจใช้บริเวณ 1,870-1,859 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดแนวรับโซน 1,859ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ตัดขาดทุน ขณะที่หากราคาดีดตัวขึ้นแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรโซน 1,900-1,906 ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองลดลงในเดือนเม.ย. สวนทางคาดการณ์ -สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยลดลง 2.7% สู่ระดับ 5.85 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.09 ล้านยูนิต
- (+) ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหราชอาณาจักรพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของสหราชอาณาจักร ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 62.0 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในเดือนม.ค.2541 จากระดับ 60.7 ในเดือนเม.ย.
- (+) ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการยูโรโซนพุ่งสูงสุดรอบกว่า 3 ปี ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2561 จากระดับ 53.8 ในเดือนเม.ย.
- (-) ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 68.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 63.5 ในเดือนเม.ย. ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 61.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 60.5 ในเดือนเม.ย. สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 70.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 64.7 ในเดือนเม.ย.
- (-) ดอลล์แข็งค่า ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรั ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% สู่ระดับ 90.0185 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.91 เยน จากระดับ 108.79 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2062 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2059 ดอลลาร์แคนาดา แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8979 ฟรังก์ จากระดับ 0.8982 ฟรังก์ ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2180 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2218 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.4154 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4185 ดอลลาร์
- (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 123.69 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ขณะที่การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคารช่วยหนุนตลาด แม้นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อก็ตาม ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,207.84 จุด เพิ่มขึ้น 123.69 จุด หรือ +0.36% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,155.86 จุด ลดลง 3.26 จุด หรือ -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,470.99 จุด ลดลง 64.75 จุด หรือ -0.48%
- (-) อังกฤษเผยฉีดวัคซีนครบโดสป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้เกือบเท่าสายพันธุ์อังกฤษ กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ (PHE) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์-บิออนเทคและของแอสตร้าเซนเนก้าเมื่อฉีดครบทั้ง 2 โดส จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียได้เกือบเทียบเท่ากับสายพันธุ์อังกฤษ ข้อมูลวิจัยของ PHE ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์-บิออนเทคมีประสิทธิภาพ 88% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.617.2 หรือสายพันธุ์ที่พบในอินเดีย ภายในเวลา 2 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีนโดสที่ 2 โดยนำไปเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพ 93% ของวัคซีนดังกล่าวในการป้องกันเชื้อสายพันธุ์ B.1.1.7 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุดในอังกฤษ สำหรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้น เมื่อฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว จะมีประสิทธิภาพ 60% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการจากสายพันธุ์อินเดีย เทียบกับประสิทธิภาพ 66% ในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ
- (+/-) ทำเนียบขาวปรับลดวงเงินลงทุนด้านสาธารณูปโภค หวังสภาสหรัฐไฟเขียว ทำเนียบขาวเปิดเผยในวันศุกร์ (21 พ.ค.) ว่า ได้ปรับลดวงเงินลงทุนด้านสาธารณูปโภคลงจาก 2.25 ล้านล้านดอลลาร์ เหลือ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยจะลดการลงทุนในด้านบรอดแบนด์ รวมถึงในการสร้างถนนและสะพาน แต่พรรครีพับลิกันยังคงปฏิเสธการปรับลดวงเงินดังกล่าวโดยระบุว่ายังลดลงไม่เพียงพอที่จะทำข้อตกลงระหว่างกัน