วิเคราะห์ราคาทองคำ 16 ธ.ค.62(ภาคเช้า) by YLG

โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
แนะนำซื้อขายทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว หากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือบริเวณแนวต้านโซน 1,479-1,487 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ยังคงแนะนำแบ่งทองคำออกขายเพื่อรอซื้อในโซนแนวรับ 1,461-1,453 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,461 1,453 1,445 แนวต้าน : 1,479 1,487 1,495
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.03 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าจีนและสหรัฐจะประกาศบรรลุข้อตกลงการค้า Phase One ร่วมกัน ซึ่งทำให้จีนรอดพ้นจากการถูกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าในวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงจากการประกาศดังกล่าว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนหนึ่งตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปบ้างแล้ว ประกอบกับสหรัฐจะยังคงเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อไป แม้ว่าสินค้าจีนวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์จะถูกจัดเก็บภาษีให้อัตราที่ลดลงเหลือ 7.5% แต่นักลงทุนบางส่วนยังคงไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวในอนาคต นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐหลังคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนฯสหรัฐลงมติอนุมัติสำหรับ 2 ข้อหาในการชี้มูลความผิดเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยจะส่งเรื่องต่อให้สภาผู้แทนฯเต็มคณะลงมติในสัปดาห์นี้ อีกทั้งสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงท่ามกลางการแข็งค่าของเงินปอนด์ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษซึ่งช่วยปลดล๊อคภาวะชะงักงันทางการเมืองและทำให้กระบวนการ Brexit มีความชัดเจนมากขึ้น ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้แม้จะการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐจะมีความคืบหน้าเชิงบวก สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนี Empire State Index และดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
หลังจากราคาทองคำทดสอบแนวต้านที่ 1,479 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ยังไม่สามารถผ่านได้ ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นยังคงมีแรงขายออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำปรับตัวลงไม่มากราคาจะยังแกว่งตัวในกรอบเดิม ซึ่งประเมินแนวรับระยะสั้นในโซน 1,461-1,453 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
แบ่งทองคำออกขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,479-1,487 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอเข้าซื้อเก็งกำไรจากการดีดตัวขึ้นหากการอ่อนตัวลงสามารถยืนเหนือโซน 1,461-1,453 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยสถานะขายตัดขาดทุนหากราคาผ่าน 1,487 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) สภาผู้แทนฯสหรัฐเตรียมโหวตข้อหาถอดถอน “ทรัมป์” สัปดาห์หน้า คาดผ่านฉลุยก่อนส่งต่อวุฒิสภา คณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ทำการลงมติอนุมัติในวันศุกร์ด้วยคะแนน 23 ต่อ 17 เสียงสำหรับ 2 ข้อหาในการชี้มูลความผิด เพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ข้อหาแรกได้แก่ การที่ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจในทางมิชอบ และข้อหาที่สองได้แก่ การขัดขวางกระบวนการสอบสวนของรัฐสภาเพื่อถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้ถูกเปิดการไต่สวนจากกรณีที่เขาโทรศัพท์ไปกดดันรัฐบาลยูเครนให้เปิดการสอบสวนนายโจ ไบเดน คู่แข่งทางการเมืองจากพรรคเดโมแครต สำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก จะทำการลงมติอนุมัติ 2 ข้อหาดังกล่าวในสัปดาห์หน้า
- (+) ปอนด์แข็งค่า หลัง “บอริส จอห์นสัน” ชนะเลือกตั้งอังกฤษหนุน Brexit ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษที่จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.26% สู่ระดับ 97.1724 เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3338 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3132 ดอลลาร์ และยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1119 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1111 ดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงสู่ระดับ 0.6868 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6898 ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.31 เยน จากระดับ 109.34 เยน
- (+) สหรัฐเผยยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
- (-) สื่อเผยสหรัฐ-จีนหวังลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในช่วงต้นเดือนม.ค. 2563 สื่อต่างประเทศรายงานว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่จีน ได้เปิดเผยกับบรรดาผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ว่า สหรัฐและจีนหวังที่จะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกในช่วงต้นเดือนม.ค. 2563 นายไลท์ไฮเซอร์ระบุว่า การลงนามในข้อตกลงดังกล่าวจะจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันในระดับรัฐมนตรี และจะไม่ใช่การลงนามระหว่างปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และปธน.สี จิ้นผิงของจีน นายไลท์ไฮเซอร์กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ได้ให้สัญญาว่าจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอนาคต เพราะยังไม่แน่ใจว่า จีนจะปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่
- (-) “ทรัมป์”ยืนยันสหรัฐบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน เตรียมเจรจาเฟสสอง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ยืนยันว่า สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน และสหรัฐจะไม่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค. อย่างไรก็ดี สหรัฐจะยังคงเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ และเก็บภาษี 7.5% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ปธน.ทรัมป์ยังระบุว่า จีนได้ตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหลายประการ และจะเพิ่มการซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน และสินค้าในภาคการผลิตของสหรัฐ นอกจากนี้ สหรัฐและจีนจะเริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าเฟสสองโดยทันที แทนที่จะรอจนกว่าหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า
- (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 3.33 จุด ข่าวสหรัฐ-จีนบรรลุข้อตกลงการค้าหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (13 ธ.ค.) หลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐและจีนประกาศข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกในตลาดเกี่ยวกับกำหนดเส้นตายที่สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,135.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.33 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,168.80 จุด เพิ่มขึ้น 0.23 จุด หรือ +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,734.88 จุด เพิ่มขึ้น 17.56 จุด หรือ +0.20%
