โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
ลงทุนระยะสั้น ซื้อขายทำกำไรจากการแกว่งตัว หากราคาสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำเข้าซื้อ เพื่อทำกำไรระยะสั้น แล้วทยอยขายทำกำไรหากราคาไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,803 1,790 1,776 แนวต้าน : 1,833 1,845 1,856
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 2.45 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยระหว่างวันราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,805.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะฟื้นตัวขึ้นแข็งแกร่ง หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.9ซึ่งสะท้อนว่าภาคการผลิตของสหรัฐเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน สถานการณ์ดังกล่าวกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1.147% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 20 ก.ค. จนเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย นั่นทำให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,819.48 ดอลลาร์ต่อออนซ์อย่างไรก็ดี ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้ โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร และความเห็นในเชิง Hawkish ของนายคริสโตเฟอร์วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่กล่าวกับ CNBC เมื่อคืนนี้ว่า เฟดอาจ “ประกาศ” ในเดือนก.ย.ว่าจะเริ่มต้นลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการQE ในเดือนต.ค. หากการจ้างงานของสหรัฐในช่วง2 เดือนต่อจากนี้มีการจ้างงานแต่ละครั้งเพิ่มขึ้น 800,000-1 ล้านตำแหน่ง ถ้อยแถลงดังกล่าวหนุนให้บอนด์ยีลด์ฟื้นตัวขึ้นจนกดดันราคาทองคำให้ร่วงลงในช่วงปลายตลาด ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -1.75 ตันสำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
ราคากลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ หากราคาสามารถยืนแนวรับบริเวณ 1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แข็งแกร่ง ยังคงมีโอกาสราคาทองคำขึ้นไปทดสอบแนวต้านในโซน 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้จะขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปโซน 1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้านแรกไม่ได้ อาจเกิดแรงขายกดดันมาให้ราคาอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน :
ราคาทองคำมีจุดเสี่ยงเปิดสถานะซื้อระยะสั้นในบริเวณ 1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากไม่สามารถยืนเหนือ1,803ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้) แต่หากราคาปรับตัวขึ้นให้พิจารณาบริเวณ 1,828-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะซื้อทำกำไร แต่หากผ่านโซนดังกล่าวแนะนำให้ชะลอการขายออกไป
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐต่ำกว่าคาดในเดือนก.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.9 หลังจากแตะระดับ 60.6 ในเดือนมิ.ย.
- (+) ดอลล์อ่อน หลังบอนด์ยีลด์ร่วง-ภาคการผลิตสหรัฐชะลอตัว ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมทั้งดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐที่ปรับตัวลงในเดือนก.ค. ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.14% แตะที่ 92.0441 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.24 เยน จากระดับ 109.75 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9048 ฟรังก์ จากระดับ 0.9061 ฟรังก์ แต่เมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.2507 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2478 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1874 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1857 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3894 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3891 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7365 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7335 ดอลลาร์สหรัฐ
- (+) ดาวโจนส์ปิดลบ 97.31 จุด กังวลไวรัสเดลตา-ศก.สหรัฐชะลอตัว ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากข่าวความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,838.16 จุด ลดลง 97.31 จุด หรือ -0.28% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,387.16 จุด ลดลง 8.10 จุด หรือ -0.18% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,681.07 จุด เพิ่มขึ้น 8.39 จุด หรือ + 0.06%
- (+) สหรัฐประกาศขับนักการทูตรัสเซีย 24 คนออกจากประเทศ นายอนาโตลี แอนโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐได้แจ้งให้นักการทูตของรัสเซียจำนวน 24 คนเดินทางออกจากประเทศภายในวันที่ 3 ก.ย. หลังจากที่วีซ่าของพวกเขาหมดอายุลง นายแอนโตนอฟไม่ได้กล่าวว่า การที่สหรัฐประกาศขับนักการทูตรัสเซียในครั้งนี้เกิดจากปัญหาความขัดแย้งใดเป็นพิเศษ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐยังไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ
- (-) สหรัฐบรรลุเป้าฉีดวัคซีนโควิดให้ประชากร 70% แต่ช้ากว่ากำหนด 1 เดือน ทำเนียบขาวแถลงในวันนี้ว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดสให้แก่ชาวอเมริกันซึ่งเป็นผู้ใหญ่จำนวน 70% ของประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ดี การฉีดวัคซีนดังกล่าวล่าช้ากว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำหนดไว้ถึง 1 เดือน ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนกล่าวในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาว่า เขาต้องการให้ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 70% ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ภายในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐ ทางด้านนายแพทย์พอล ออฟฟิต สมาชิกของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า “เราจำเป็นที่จะต้องให้ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 80% ได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นสายพันธุ์ที่สามารถติดต่อได้ง่าย” ขณะเดียวกัน ค่าเฉลี่ยล่าสุดของอัตราการฉีดวัคซีนในสหรัฐอยู่ที่ระดับ 660,000 รายต่อวัน ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับมากกว่า 3 ล้านรายต่อวันที่ทำไว้ในช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
- (-) ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐพุ่งนิวไฮในเดือนก.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 63.4 ในเดือนก.ค. จากระดับ 62.1 ในเดือนมิ.ย. ดัชนี PMI ดีดตัวขึ้นในเดือนก.ค.แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ค.2550 และดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ