บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 20 ก.ย.64 by YLG
โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,745-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,767-1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,739 1,713 1,697 แนวต้าน : 1,767 1,779 1,802
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดทรงตัวแทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้ในระหว่างวันราคาทองคำจะเกิดการดีดตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,767.42ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีดอลลาร์ที่เกิดการพักตัว แต่ดัชนีดอลลาร์กลับมาฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา และแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ พร้อมปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการแข็งค่าขึ้น 0.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนส.ค. จากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณปรับลดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปีนี้ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1.3855% ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเพิ่ม ส่งผลกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,747.30ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่จะสังเกตได้ว่าราคาทองคำไม่ได้ทำระดับต่ำสุดใหม่จากวันทำการก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางการร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่บางส่วนเข้าซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรหลังจากราคาทองคำปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองเพิ่ม +1.74 ตัน สู่ระดับ 1,001.66 ตันเป็นอีกปัจจัยที่พยุงตลาดทองคำให้ขึ้นมาปิดตลาดทรงตัวได้ สำหรับวันนี้ ปริมาณการซื้อขายทองคำในช่วงเช้าอาจเบาบางกว่าปกติเนื่องจากตลาดจีนปิดทำการ 2 วันในวันจันทร์และอังคารในเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่แนะนำติดตามการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านจากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
แรงขายยังคงสลับออกมากดดันแต่ก็มีแรงซื้อเข้าพยุงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคายังมีโอกาสดีดตัวขึ้นช่วงสั้นแต่หากไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านระดับ 1,767-1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อาจทำให้เกิดแรงขายกดดันให้ปรับตัวลงสู่ระดับ 1,745-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
เปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,745-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์) โดยหากราคาทองคำดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,767-1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่สามารถยืนเหนือบริเวณดังกล่าวแนะนำให้ปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไร
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) ดาวโจนส์ปิดลบ 166.44 จุด วิตกหลายปัจจัยกดดันตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล, การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วขึ้น ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,584.88 จุด ลดลง 166.44 จุด หรือ -0.48%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,432.99 จุด ลดลง 40.76 จุด หรือ -0.91% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,043.97 จุด ลดลง 137.96 จุด หรือ -0.91%
- (+) ฝรั่งเศสเรียกทูตสหรัฐ,ออสเตรเลียกลับประเทศหลังถูกฉีกสัญญาซื้อเรือดำน้ำนายฌอง-อีฟว์ เลอ ดริยอง รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศสเปิดเผยแถลงการณ์ในวันศุกร์ (17 ก.ย.) ระบุว่า ฝรั่งเศสได้ตัดสินใจเรียกเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหรัฐและออสเตรเลียกลับประเทศ หลังจากออสเตรเลียยกเลิกสัญญาซื้อเรือดำน้ำของฝรั่งเศส และหันไปซื้อเรือดำน้ำของสหรัฐแทน นายเลอ ดริยองระบุในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ว่า “ผมได้ตัดสินใจทันทีที่จะเรียกเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหรัฐและออสเตรเลียกลับประเทศ ตามที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสเรียกร้อง โดยการตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลมาจากการประกาศของออสเตรเลียและสหรัฐเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา”
- (+) ฝรั่งเศสฉุนออสซี่ “แทงข้างหลัง” เหตุรับเทคโนโลยีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์จากสหรัฐทางการฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ฝรั่งเศสไม่สามารถเชื่อถือออสเตรเลียได้อีกต่อไปในการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป หลังจากที่ออสเตรเลียฉีกข้อตกลงที่ว่าจ้างให้ฝรั่งเศสสร้างเรือดำน้ำ และหันมารับเทคโนโลยีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐแทน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย เปิดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ทั้ง 3 ประเทศจะจัดตั้งพันธมิตรด้านความมั่นคงในเขตอินโดแปซิฟิกภายใต้ชื่อ AUKUS ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือออสเตรเลียในการจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์
- (-) ดอลล์แข็งเทียบสกุลเงินหลัก จับตาประชุมเฟดสัปดาห์หน้าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) ขณะที่ยูโรและปอนด์อ่อนค่าลง โดยดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการเปิดเผยยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ดีเกินคาดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.28% แตะที่ 93.1881 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.91 เยน จากระดับ 109.70 เยน, แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9322 ฟรังก์ จากระดับ 0.9269 ฟรังก์ และดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2745 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2679 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1729 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1754 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3738 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3789 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7273 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7294 ดอลลาร์
- (-) CDC สหรัฐชี้วัคซีนโมเดอร์นามีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันผู้ติดโควิดเข้าโรงพยาบาลศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยผลการศึกษาใหม่ในวันศุกร์ (17 ก.ย.) ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นามีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะที่วัคซีนของไฟเซอร์และของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) มีประสิทธิภาพรองลงมาตามลำดับในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล CDC ระบุว่า ประสิทธิภาพดังกล่าวของวัคซีนโมเดอร์นาอยู่ที่ระดับ 93%, ของไฟเซอร์/ไบออนเทคอยู่ที่ 88% และของ J&J อยู่ที่ 71% รายงานของ CDC ระบุว่า “แม้ข้อมูลจากการศึกษาบ่งชี้ว่าวัคซีนมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน แต่วัคซีนทั้งหมดก็สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล”
- (+/-)ที่ปรึกษา FDA หนุนฉีดบูสเตอร์โควิดให้เฉพาะผู้สูงอายุ-กลุ่มเสี่ยงสูงในสหรัฐคณะที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐได้รับรองในวันศุกร์ (17 ก.ย.) ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์ของไฟเซอร์-ไบออนเทคให้กับชาวอเมริกันที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรง หลังจากที่ประชาชนในกลุ่มดังกล่าวได้รับวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ไม่แนะนำให้ FDA อนุมัติการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป