GOLD.in.th
ราคาทองวันนี้ ข่าวสาร วิเคราะห์ ทองคำ
เพิ่มเพื่อน

เพิ่มเพื่อนบัญชีทางการของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 1 ธ.ค.64 by YLG

290

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัวโดยการเข้าซื้อมีแนวรับบริเวณ 1,769-1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์) และหากราคาขยับขึ้นควรแบ่งขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านโซน 1,796-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,766 1,751 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,818 1,833

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 10.30ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นก่อนโดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย  หลังจากผู้บริหารของบริษัทโมเดอร์นาออกมาเตือนว่า วัคซีนต้าน COVID-19 มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพลดลงในการต่อต้านสายพันธุ์โอไมครอน  นอกจากนี้  ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมา “แย่เกินคาด” อาทิดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโก และ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐของ Conference Board ปัจจัยที่กล่าวมาทำให้ดัชนีดอลลาร์ดิ่งลงทดสอบระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์  ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ10 ปี ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1.412% จนเป็นปัจจัยหนุนให้ทองคำทะยานขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,808.63 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่ราคาทองคำจะดิ่งลงแรงในทันทีที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาระบุว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเลิกใช้คำว่า “ชั่วคราว” เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ พร้อมกับส่งสัญญาณว่า เฟดสามารถพิจารณาสิ้นสุดกระบวนการ taper QE ให้เร็วขึ้นอีก 2-3 เดือน  ด้วยการปรับลดวงเงิน QEมากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งเฟดจะมีการหารือกันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 14-15 ธ.ค. ทั้งนี้   สัญญาณในเชิงเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ  เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงแรงเกือบ 40 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับสูงสุดในระหว่างวันสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,769.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP, ดัชนี PMI ภาคการผลิต และการแถลงต่อคองเกรสของประธานเฟดเป็นวันที่ 2

จจัยทางเทคนิค :

ราคาแกว่งตัวในกรอบเพื่อพยายามสร้างฐานราคา ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุด 1,769-1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะมีโอกาสดีดตัวขึ้น โดยราคาจะพยายามทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,796-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากหลุดแนวรับแรก กรอบด้านล่างจะอยู่ที่ 1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

รอเปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,769-1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ลดพอร์ตสถานะซื้อหากราคาหลุด 1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หากราคาดีดตัวขึ้นให้พิจารณาโซน 1,796-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดทยอยปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไร

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) “เอสแอนด์พี” เผยราคาบ้านสหรัฐส่งสัญญาณชะลอตัวในเดือนก.ย.ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่า ดัชนีราคาบ้านในสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในเดือนก.ย.  ทั้งนี้ ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 19.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 19.8% ในเดือนส.ค. และเป็นครั้งแรกที่ราคาบ้านได้ชะลอตัวลงเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563
  • (+) Conference Board เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐต่ำกว่าคาด. ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 109.5 ในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 111.0 จากระดับ 111.6 ในเดือนต.ค.
  • (+) ดอลล์อ่อนค่า คาดเฟดไม่เร่งขึ้นดบ.หลังโอไมครอนระบาด ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) หลังมีกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.33% แตะที่ 96.0105 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.10 เยน จากระดับ 113.71 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9187 ฟรังก์ จากระดับ 0.9245 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2786 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2769 ดอลลาร์  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1320 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1274 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3279 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3293 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7120 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7129 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 652.22 จุด กังวลเฟดยุติ QE เร็วกว่าคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ผู้บริหารของบริษัทโมเดอร์นาเตือนว่า วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,483.72 จุด ลดลง 652.22 จุด หรือ -1.86%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,567.00 จุด ลดลง 88.27 จุด หรือ -1.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,537.69 จุด ลดลง 245.14 จุด หรือ -1.55%
  • (-) แกนนำวุฒิฯสหรัฐคาดอนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ในไม่ช้า.นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐจากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า เขาหวังว่าวุฒิสภาจะให้การอนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐในไม่ช้า หลังจากที่มี “การสนทนาที่ดี” กับนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน “วุฒิสภาจะต้องดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าสหรัฐจะไม่ผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้มีการสนทนาที่ดีกับท่านผู้นำพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหวังว่าจะมีการเจรจาต่อไป ซึ่งผมคาดหวังว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกในการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ในไม่ช้า” นายชูเมอร์กล่าว
  • (-) “พาวเวล” ส่งสัญญาณหั่น QE เร็วกว่าคาด หลังเงินเฟ้อพุ่ง.นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค.  “ขณะนี้ เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมาก และแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้เพิ่มสูงขึ้น ผมจึงเห็นว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่เฟดจะพิจารณายุติโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเดือน โดยเราจะหารือกันในการประชุมครั้งต่อไป” นายพาวเวลกล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้
  • (-) ทีมที่ปรึกษาอนุมัติใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉิน คาด FDA ไฟเขียวคณะกรรมการที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคลภายนอก ลงมติด้วยคะแนนเสียง 13 ต่อ 10 อนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ในการรักษาโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน โดยเมอร์คได้พัฒนายาดังกล่าวร่วมกับบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ทั้งนี้ ยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วันสำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น คณะกรรมการที่ปรึกษาจะยื่นมติดังกล่าวให้ FDA พิจารณาเป็นลำดับต่อไป และเมื่อ FDA ให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ก็จะเป็นการปลดล็อกให้มีการใช้ยาดังกล่าวทั่วโลก เนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศยังไม่ให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ หากยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐ

- Advertisement -

Comments
Loading...